Thailand
ไบเดน'ไฟเขียวส่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้ยูเครน ตามหลังอนุมัติให้ใช้ ATACMS ของสหรัฐฯ โจมตีรัสเซีย มอสโกเตรียมตอบโต้
21-11-2024
AI Jazeera รายงานโดยอ้างสำนักข่าวรอยเตอว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา อนุมัติการจัดส่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (antipersonnel land mines) ให้แก่ยูเครน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านอาวุธครั้งสำคัญของรัฐบาลชุดปัจจุบันก่อนพ้นวาระ ภายหลังจากที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธระบบ ATACMS โจมตีเป้าหมายในดินแดนรัสเซียเป็นครั้งแรก
แหล่งข่าวระดับสูงในวอชิงตันเปิดเผยว่า ทุ่นระเบิดที่จะส่งมอบเป็นระบบที่ออกแบบให้ทำลายตัวเองได้ (non-persistent) โดยใช้แบตเตอรี่เป็นชนวนจุดระเบิดและจะหมดฤทธิ์อัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่หมดตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ยูเครนได้ให้คำมั่นว่าจะใช้อาวุธดังกล่าวเฉพาะในดินแดนของตนและจะหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนจุดยืนของประธานาธิบดีไบเดน ที่เคยลังเลในการจัดหาทุ่นระเบิดให้ยูเครนเนื่องจากความกังวลต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งองค์กรรณรงค์ต่อต้านทุ่นระเบิดระบุว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าจะยอมรับได้
แม้ว่ายูเครนจะได้รับทุ่นระเบิดต่อต้านรถถังจากสหรัฐฯ มาตลอดการสู้รบ แต่การเพิ่มทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดกั้นการรุกคืบของกองกำลังภาคพื้นดินรัสเซียที่ขยายวงกว้างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
การอนุมัติดังกล่าวมีขึ้นหลังจากยูเครนใช้ขีปนาวุธ ATACMS ที่ได้รับจากสหรัฐฯ โจมตีเป้าหมายในเขตบรียนสค์ของรัสเซียเป็นครั้งแรก หลังจากได้รับไฟเขียวจากประธานาธิบดีไบเดนให้ใช้อาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ ในการโจมตีเป้าหมายในรัสเซียได้
นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวระหว่างการประชุม G20 ที่บราซิลว่า การโจมตีด้วยขีปนาวุธ ATACMS แสดงให้เห็นว่าชาติตะวันตกต้องการ "ยกระดับ" ความขัดแย้ง โดยรัสเซียจะถือว่านี่คือ "การเข้าสู่ระยะใหม่ของสงครามที่ชาติตะวันตกทำต่อรัสเซีย" และจะมีการตอบโต้อย่างเหมาะสม
ล่าสุด ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ลงนามในกฤษฎีกาลดเกณฑ์การใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งทำเนียบขาว สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป ได้ประณามว่าเป็นการกระทำที่ "ขาดความรับผิดชอบ"
---
ที่มา AI Jazeera
https://www.aljazeera.com/news/2024/11/20/ukraine-to-get-us-land-mines-for-use-against-russian-forces-reports
---------------------------------------------
ยูเครนใช้ ATACMS เองไม่ได้ ถ้าสหรัฐ 'ไม่ช่วยเหลือ"
21-11-2024
หลังรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน อนุมัติให้ยูเครนสามารถใช้ขีปนาวุธที่สหรัฐฯ จัดหาให้ โจมตีเข้าไปในรัสเซียได้ ทำให้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (19 พ.ย.) กองกำลังของยูเครนยิงขีปนาวุธ 6 ลูกไปที่ภูมิภาค Bryansk ของรัสเซีย เมื่อเวลา 03.25 น.ตามเวลาท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า กองกำลังของสหรัฐฯ ได้สกัดกั้นขีปนาวุธ ATACMS จำนวน 5 ลูก และขีปนาวุธ 1 ลูกได้รับความเสียหายจากระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 และ Pantsir แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ กำลังติดหล่มอยู่ในความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าไม่เป็นเช่นนั้นก็ตาม
“ทหารสหรัฐฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบนำวิถีขีปนาวุธ [ATACMS]... และประสานงานเที่ยวบินเพื่อโจมตี เราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจ” Alexander Mikhailov หัวหน้าสำนักงานวิเคราะห์การทหารและการเมืองของรัสเซียกล่าว พร้อมอธิบายว่า ATACMS ที่ผลิตในสหรัฐฯ ใช้ข้อมูลนำทางด้วยดาวเทียมที่ได้รับจากกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งการเลือกเป้าหมายและพิกัดจะดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของกองทัพสหรัฐฯ ขณะที่กระบวนการโหลดภารกิจการบินลงในหัวนำวิถีของขีปนาวุธก็จะดำเนินการโดยทหารสหรัฐฯ เช่นกัน
“การยิงไม่สามารถดำเนินการได้หากไม่มีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ” Mikhailov กล่าว "[ชาวอเมริกัน] จะไม่โอนอัลกอริทึม รหัส หรือกลไกสำหรับการป้อนพิกัดลงในขีปนาวุธ ATACMS ให้กับเจ้าหน้าที่ของกองทัพยูเครน”
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ก็ยังเห็นด้วยกับนักวิชาการชาวรัสเซีย สก็อตต์ ริตเตอร์ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ระบุว่า "ไม่สามารถใช้งานระบบ ATACMS ได้นอกจากสหรัฐฯ" เพราะระบบนำทางและข้อมูลที่ส่งเข้ามาได้รับการพัฒนาโดยนักวิเคราะห์ภูมิสารสนเทศของกระทรวงกลาโหมในยุโรป ขณะที่ข้อมูลซึ่งจัดประเภทโดยใช้การเข้ารหัสของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ จะถูกส่งต่อจากไซต์ในยุโรปไปยังสถานีดาวน์ลิงก์ในยูเครนซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ ประจำการ จากนั้นผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ จะส่งกลับขึ้นระบบ ATACMS อีกครั้ง
"ดังนั้น สหรัฐฯ จึงเป็นผู้วางแผนภารกิจนี้ โดยจะโหลดข้อมูลลงในขีปนาวุธ และเมื่อกดปุ่ม สหรัฐฯ จะยิงขีปนาวุธใส่รัสเซีย" ริตเตอร์กล่าว "มีแต่คนอเมริกันเท่านั้นที่ทำได้"
ขณะเดียวกัน เครมลินได้เตือนสหรัฐฯ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมที่เพิ่มมากขึ้นในความขัดแย้งในยูเครน ซึ่ง ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลินกล่าวว่า การที่สหรัฐฯ เปิดไฟเขียวให้ยูเครนโจมตีในส่วนลึกของรัสเซียด้วยระบบ ATACMS ถือเป็นสถานการณ์ใหม่ "ในเชิงคุณภาพ" ในแง่ของการมีส่วนร่วมของวอชิงตัน
IMCT News
ที่มา https://sputnikglobe.com/20241120/only-americans-can-do-it-why-ukrainians-cant-launch-atacms-alone-1120946127.html
------------------------------------------
กลุ่มสิทธิมนุษยชนตะวันตกโจมตี 'ไบเดน' หลังจัดหาทุ่นระเบิดให้ยูเครน
21-11-2024
กลุ่มสิทธิมนุษยชนตะวันตกประณามประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ที่จัดหาขีปนาวุธและทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลให้กับยูเครน โดยกล่าวหาว่าผู้นำสหรัฐฯ ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งผิด สัญญาปี 2022 ที่จะจำกัดการใช้ทุ่นระเบิด
การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดความโกรธแค้น ทำให้กลุ่มล็อบบี้ยิสต์ต้องเตือนถึงผลกระทบอันเลวร้ายและยาวนานของอาวุธดังกล่าว
“ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลเป็นอาวุธที่สังหารและทำร้ายพลเรือน โดยเฉพาะเด็กๆ เป็นเวลาหลายชั่วอายุคนหลังสงครามสิ้นสุดลง” ฮิเชม คาธราอุย ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์เพื่อพลเรือนในความขัดแย้ง (CIVIC) ระบุ “อาวุธเหล่านี้ไม่สามารถแยกแยะระหว่างพลเรือนกับผู้สู้รบได้ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ”
“เป็นเรื่องน่าตกใจมากที่ประธานาธิบดีไบเดนตัดสินใจที่ส่งผลและอันตรายเช่นนั้น ก่อนที่มรดกในการรับใช้สาธารณะของเขาจะถูกจารึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์” เบน ลินเดน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐฯ กล่าว
การพลิกกลับของไบเดนเกิดขึ้น ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนาโต เกี่ยวกับการที่มอสโกได้เปรียบในสมรภูมิดอนบาส ภูมิภาคเคิร์สก์ และบางส่วนของยูเครน
ทุ่นระเบิดซึ่งตั้งใจจะชะลอการรุกคืบของรัสเซียนั้น เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ อธิบายว่าเป็น “ระเบิดที่ไม่คงอยู่” ซึ่งแตกต่างจากทุ่นระเบิดแบบเดิม ทุ่นระเบิดเหล่านี้จะหยุดการทำงานหลังจากพลังงานแบตเตอรี่หมด
“ทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกหลอมรวมด้วยไฟฟ้าและต้องใช้พลังงานแบตเตอรี่จึงจะระเบิดได้ เมื่อแบตเตอรี่หมด ทุ่นระเบิดจะไม่ระเบิด” เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าวเพื่อปกป้องการตัดสินใจของทำเนียบขาว
แม้จะมีคำยืนยันดังกล่าว แต่บรรดาผู้วิจารณ์ก็โต้แย้งว่ามาตรการป้องกันดังกล่าวไม่สามารถขจัดความเสี่ยงโดยธรรมชาติได้ ยูเครนต้องกำจัดทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดออกจากพื้นที่เกือบ 130,000 ตารางกิโลเมตรก่อนปี 2014 ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่กว่าอังกฤษ ตามการประมาณการของเคียฟ
ขณะที่ไบเดนส่งระเบิดคลัสเตอร์ไปยังเคียฟในปี 2023 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งการเคลื่อนไหวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากอาวุธดังกล่าวอาจทำอันตรายต่อพลเรือน การอนุมัติทุ่นระเบิดถือเป็นการตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายในปี 2022 ของเขาที่จำกัดการใช้หรือโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของสหรัฐฯ ยกเว้นบนคาบสมุทรเกาหลี นโยบายดังกล่าวได้พลิกกลับการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในขณะนั้นที่จะขยายการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
มีรายงานว่าทำเนียบขาวได้ขอให้ยูเครนจำกัดการใช้ทุ่นระเบิดในดินแดนของตนเองและหลีกเลี่ยงพื้นที่พลเรือน แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังคงไม่เห็นด้วยกับคำรับรองดังกล่าว
ที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ กว่า 160 ประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญาออตตาวาปี 1997 ซึ่งห้ามการผลิตและโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แต่สหรัฐฯ และรัสเซียกลับไม่ลงนาม ยูเครนเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงปี 1997 ซึ่งหมายความว่าการยอมรับเสบียงของไบเดนถือเป็นการละเมิดพันธกรณีตามสนธิสัญญา นักเคลื่อนไหวเตือนว่าการตัดสินใจของไบเดนอาจเสี่ยงที่จะทำให้การใช้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ขัดแย้งที่มีทุ่นระเบิดมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น
IMCT News
ที่มา https://www.rt.com/news/607952-biden-ukraine-mines-human-right/
© Copyright 2020, All Rights Reserved