ขอบคุณภาพจาก RT
22/10/2024
โดนัลด์ ทรัมป์ และกมลา แฮร์ริส เตรียมสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ บรรดานักลงทุนต่างสงสัย ศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐจะกระทบกับราคาทองคำอย่างไรบ้าง
เมื่อปี 2020 โจ ไบเดน และกมลา แฮร์ริส ต่างนำเสนอตนเองว่าเป็นผู้ที่จะนำพารีพับลิกันและเดโมแครตมาทำงานด้วยกัน ท้าทาย โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมาในแนวคิด ต่างคนต่างทำมากกว่า และแม้ทรัมป์จะแพ้เลือกตั้ง แต่ความนิยมในตัวทรัมป์ก็ยังมากเช่นเดิม
ในช่วงที่ทรัมป์ และไบเดน ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้งคู่ต่างมาในแนวเดียวกัน คือ เพิ่มการผลิตน้ำมันในประเทศ และขึ้นภาษีสินค้าที่มาจากต่างแดน
ส่วนนโยบายของแฮร์ริสในครั้งนี้ พุ่งเป้าไปยังการเพิ่มการสนับสนุนกลุ่มผู้ซื้อบ้านครั้งแรก รวมถึงกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก อีกทั้งจะให้ภาครัฐลงทุนในพลังงานหลายรูปแบบ ทั้งพลังงานหมุนเวียน น้ำมันและก๊าซ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างชาติ
ขณะที่ทรัมป์พุ่งเป้าไปยังการตรวจตราและประเด็นคนเข้าเมือง และจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน
ในประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน แฮร์ริสให้คำมั่นจะสนับสนุนทั้งยูเครนและพันธมิตรของสหรัฐในยุโรป ส่วนทรัมป์ไม่ได้พูดเรื่องการสนับสนุนยูเครน แต่บอกว่า จะยุติสงคราม และมีแผนจะดันกองทุนช่วยเหลือยูเครน ให้เป็นหน้าที่ของพวกยุโรป รวมถึงพยายามดึงประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย และ ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน ให้มาร่วมโต๊ะเจรจากัน
ในช่วงที่ทรัมป์และไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ราคาทองคำก็พุ่งขึ้นโดยตลอด จนปัจจุบัน ทองคำมีราคาพุ่งขึ้นกว่าเท่าตัวแล้ว นับจากทรัมป์ครองเก้าอี้ผู้นำสหรัฐเมื่อปี 2017 ราคาทองคำดีดขึ้นล่าสุด ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยธนาคารกลางสหรัฐลดดอกเบี้ย
หลังการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนผ่านพ้นไป หลายคนมองว่า ราคาทองคำน่าจะกลับคืนสู่ภาวะปกติค่อนข้างรวดเร็ว ซีอีโอของ IndependentSpeculator.com ไม่คิดว่า ผู้สมัครรายใดจะมีผลต่อราคาทองคำหลังการเลือกตั้ง ราคาทองคำ โลหะเงิน ยูเรเนียม หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่น จะยังอยู่ในวงจรเดิมของตัวเอง
เมื่อปี 2016 ตอนที่ทรัมป์แข่งกับ ฮิลลารี คลินตัน ราคาทองคำพุ่งขึ้น 50 ดอลลาร์ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง คือ 8 พฤศจิกายน แล้วพอหลังจากทรัมป์ชนะ ราคาทองคำก็ร่วงลง ก่อนจะไปดีดขึ้นอีกครั้งช่วงกลางเดือนมกราคม ปี 2017
ในศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ราคาทองคำก็ขึ้นมาบ้างในช่วงไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้ง แล้วพอหลังการเลือกตั้ง ราคาทองคำก็ยังคงพุ่งต่อ ก่อนที่จะร่วง ในช่วงที่ต้องมีการนับคะแนนใหม่อีกครั้งในรัฐจอร์เจีย และอีกหลายเขต รวมถึงประเด็นที่ทีมของทรัมป์จะเล่นงานทางกฎหมาย เพราะมองว่า การเลือกตั้งไม่ยุติธรรม
แล้วราคาทองคำในช่วงนั้น ก็กลับมาพุ่งต่อ จนมาถึงช่วงต้นเดือนมกราคม 2021 เมื่อคณะผู้เลือกตั้งประชุมกัน เพื่อจะให้ไบเดนชนะ แล้วในวันเดียวกันนั้นเอง ก็มีฝูงชนเฮโลบุกเข้าไปที่อาคารรัฐสภาสหรัฐ เพราะต้องการคว่ำกระบวนการนี้ ส่งผลให้ราคาทองคำกลับมาร่วง แล้วร่วงยาวไปถึงเดือนมีนาคม
ในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ราคาทองคำจาก 1,209 ดอลลาร์ต่อออนซ์ วันที่เขารับตำแหน่ง กลายมาเป็นราคา 1,839 ดอลลาร์ต่อออนซ์ วันที่เขาลาตำแหน่ง แม้ราคาทองคำจะไม่ได้เกี่ยวพันโดยตรงกับทรัมป์ แต่การทำงานของเขา ที่มีผลต่อภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ สงครามการค้าทั้งในกลุ่มพันธมิตรและคู่แข่ง ล้วนส่งผลต่อราคาทองคำ
ซึ่งในช่วงนั้น ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีน ความสัมพันธ์สหรัฐกับอินเดียเปราะบาง และอินเดียก็สูญเสียสถานะพิเศษทางการค้ากับสหรัฐ ทรัมป์ยังถอนสหรัฐออกจากสนธิสัญญานิวเคลียร์อิหร่าน และลงโทษใครก็ตามที่ค้าขายกับอิหร่าน แล้วทั้งหมดทั้งมวล ก็นำมาซึ่งการขยายตัวของ BRICS ในปัจจุบัน ดันให้จีนและอินเดียเริ่มตุนทองมากขึ้น
อีกปัจจัยที่ทำให้ทองคำพุ่งขึ้นในยุคของทรัมป์ ก็คือ โควิดระบาด ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องออกนโยบายสนับสนุนประชาชนและเศรษฐกิจ งบอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล ทำให้หลายคนหันไปซื้อทองคำเป็นหลักประกันความเสี่ยง เพราะเกรง ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า
ถ้าทรัมป์ชนะเลือกตั้งหนนี้ นโยบายกีดกันสินค้าต่างแดนก็คงมาอีก รวมถึงการโดดเดี่ยวจีน และทรัมป์ก็พูดแล้วจะเก็บภาษี 60% สินคาทุกรายการที่เข้ามาในสหรัฐ น่าจะก่อให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างประเทศมากขึ้น
ส่วนในยุคของไบเดน ทองคำจากราคา 1,871 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในวันที่เขารับตำแหน่ง จนถึงตอนนี้ ( 21 ตค. 2024 ) ราคาทองคำก็ทะลุ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูงในยุคของไบเดน เพราะรับตำแหน่งหลังเหตุการณ์โรคระบาด ที่ทำให้สหรัฐต้องอัดงบกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล ดันให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องขึ้นดอกเบี้ยอยู่หลายรอบ เพื่อพยุงค่าเงินดอลลาร์ ก็ทำให้ราคาทองคำชะงักไปบ้าง แต่พอเฟดหันมาลดดอกเบี้ยเมื่อไม่นานมานี้ ราคาทองคำก็กลับมาพุ่งทันที
ในยุคของไบเดน BRICS ผงาดขึ้นมาอย่างเต็มตัว แม้ไบเดนพยายามจะซ่อมความสัมพันธ์กับจีน แต่ท้ายสุด ก็ยังเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน ส่วนประเด็นเศรษฐกิจ ไบเดนกันสหรัฐออกจากจีน โดยมีนโยบายสนับสนุนให้ตะวันตกผลิตห่วงโซ่อุปทานเองในหลายอุตสาหกรรม ทั้งพลังงานสะอาด รถไฟฟ้า และชิปเซมิคอนดักเตอร์ และยังให้การอุดหนุนบริษัทที่ไม่ได้พึ่งพาห่วงโซ่การผลิตจากจีน ขณะที่จีนก็สวนกลับ ด้วยการเทพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและตราสารหนี้ต่างๆ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 1.65 ล้านล้านบาท ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
ไบเดนยังคว่ำบาตรรัสเซียที่ไปบุกยูเครน ทำให้รอยร้าวระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย รวมถึง BRICS ยิ่งลงลึก สหรัฐยังจำกัดรัสเซีย ที่จะเข้าใช้บริการ SWIFT เครือข่ายสื่อสารในการทำธุรกรรมข้ามแดน กระทรวงการคลังสหรัฐยังคุมเข้มธนาคารกลางรัสเซียและกองทุนอื่นไม่ให้เข้าถึงระบบการเงินสหรัฐ นักวิเคราะห์บางคนมองว่า การทำเช่นนี้ อาจบ่อนทำลายดอลลาร์สหรัฐเสียเอง ในฐานะทุนสำรองของโลกมายาวนาน เพราะหลายประเทศต่างพากันมองว่า สหรัฐกำลังใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธโจมตีคนอื่น
ส่วนผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ คาดว่า ไม่น่าจะส่งผลอะไรกับราคาทองคำ แต่น่าจะเป็นการประชุมของเฟด หลังการเลือกตั้ง มากกว่า ที่จะส่งผลกับดอลลาร์สหรัฐและราคาทองคำ เฟดจะประชุมในวันที่ 6-7 พฤศจิกายนนี้ เพียงหนึ่งวันหลังวันเลือกตั้งคือ 5 พฤศจิกายน
ถ้าเฟดลดดอกเบี้ย ราคาทองคำจะขึ้น แต่ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย ราคาทองคำจะลด แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่า เฟดจะลดหรือขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้
ในช่วงที่สหรัฐได้ประธานาธิบดีมาจากเดโมแครต ทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.2% และในทางกลับกัน ถ้าได้ประธานาธิบดีมาจากรีพับลิกัน ทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10.2% แต่สิ่งนี้ยังไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นอยู่ที่ว่า พรรคไหนได้ครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสมากกว่ากัน ซึ่งประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ในช่วงที่เดโมแครตได้คุมสภาคองเกรส ทองให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20.9% ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับตอนรีพับลิกันคุมสภาคองเกรส ซึ่งทองให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแค่ 3.9% แต่ถ้าไม่มีพรรคไหนได้ครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสเลย ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.5%
ดังนั้น แทนที่จะดูว่า พรรคไหนได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ควรต้องดูด้วยว่า พรรคไหนได้ครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส และหลังเลือกตั้งมักไม่ใช่โอกาสดีของการลงทุน เพราะการขึ้นหรือลงของทองคำจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น
By IMCT News