นักวิเคราะห์ชี้ ‘มาร์โค รูบิโอ’ เตรียมชูนโยบายสหรัฐฯ ต้านอิทธิพลจีน
30-1-2025
นักวิเคราะห์หลายคนประเมินว่า มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คนใหม่ได้วางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกให้เป็นไปในลักษณะต้านจีน ด้วยการยกระดับความเข้มข้นของนโยบายสหรัฐฯ เอง เพื่อหวังส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาคดังกล่าวพร้อม ๆ กับรักษาผลประโยชน์สูงสุดของอเมริกาไปด้วย
ในวันแรกที่ รูบิโอ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 มกราคม อดีตสว.สังกัดพรรครีพับลิกัน จากฟลอริดาผู้นี้ได้เปิดเผยเป็นนัยเกี่ยวกับหน้าตาของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารกระทรวงของตน
รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ คนใหม่ระบุระหว่างการพบกับทีมงานหลังเสร็จสิ้นพิธีปฏิญาณตนว่า “งานของพวกเราที่ดำเนินการอยู่ทั่วโลกก็คือ การทำให้แน่ใจว่า เรามีนโยบายต่างประเทศที่ส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ”
รูบิโอยังกล่าวด้วยว่า “นโยบายโลกที่สำคัญที่สุดก็คือ การส่งเสริมสันติภาพและการหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง”
ริชาร์ด อาร์มิทาจ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช บอกกับผู้สื่อข่าววีโอเอ ภาคภาษาเกาหลี เมื่อวันที่ 24 มกราคม ว่า รูบิโอน่าจะหันไปปรึกษาบรรดาผู้อำนวยการของกระทรวงฯ ที่รับผิดชอบแต่ละประเทศในภูมิภาคเหล่านี้และประสานงานกับเพนตากอนรวมทั้งหน่วยงานข่าวกรองทั้งหลายเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์เอเชียแปซิฟิกขึ้นมาใหม่
ส่วนมาร์ค เคนเนดี ผู้อำนวยการ Wahba Institute for Strategic Competition ของศูนย์ Wilson Center ให้ความเห็นกับวีโอเอ เมื่อ 23 มกราคมว่า “นโยบายว่าด้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของรมต.รูบิโอจะมุ่งเน้นเรื่องการต้านจีน ด้วยการพึ่งความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานและความเป็นหุ้นส่วนทางความมั่นคงและทางการค้าของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม”
ขณะเดียวกัน โจเซฟ ดิทรานิ ซึ่งเคยเป็นผู้แทนพิเศษในการประชุม 6 ฝ่ายว่าด้วยการลดอาวุธนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือในช่วงรัฐบาลปธน.จอร์จ ดับเบิลยู บุช ให้ความเห็นว่า ในเรื่องของเกาหลีเหนือกับรัสเซียนั้น “รูบิโอจะขอจีน เหมือนที่ทรัมป์เคยทำ ให้ช่วยโน้มน้าวกรุงเปียงยางให้กลับมาเจรจากับสหรัฐฯ อีกครั้ง”
ดิทรานิบอกกับ วีโอเอ เมื่อ 24 มกราคมด้วยว่า ไม่ว่าจะได้ความช่วยเหลือจากจีนหรือไม่ ถ้ารูบิโอประสบความสำเร็จ สหรัฐฯ ก็อาจจะช่วยดึงเกาหลีเหนือให้ออกห่างจากรัสเซียได้
อีวาน รีเวียร์ ซึ่งเคยทำหน้าที่รักษาการรัฐมนตรีด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกในรัฐบาลบุชผู้ลูก กล่าวว่า รูบิโอน่าจะนำเสนอเรื่องการต่อต้านคัดค้านเผด็จการ คอมมิวนิสต์และการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าไปในการดำเนินงานบริหารกระทรวงฯ
อดีตสว.จากฟลอริดาผู้นี้เติบโตที่นครไมอามี โดยพ่อและแม่นั้นเป็นผู้อพยพจากคิวบา และแสดงจุดยืนความเกลียดชังรัฐบาลคอมมิวนิสต์มาตลอดอาชีพการเมืองของเขา
นักวิเคราะห์เชื่อว่า ประเด็นนี้ที่ผนวกกับสองเสาหลักด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งก็คือ “อเมริกามาก่อน” (America First) และการสร้าง “สันติภาพด้วยการแสดงความแข็งแกร่ง” น่าจะทำให้สหรัฐฯ ดำเนินยุทธศาสตร์โหด ๆ กับประเทศอย่าง เกาหลีเหนือและจีน และต่อกิจกรรมต่าง ๆ ของประเทศเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียด้วย
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว รูบิโอส่งสัญญาณท่าทีดังว่าออกมาระหว่างการพูดคุยโทรศัพท์กับรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ โดยกล่าวย้ำว่า “รัฐบาลทรัมป์จะเดินหน้าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนในแบบที่ส่งเสริมผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” และ “พันธกรณีของสหรัฐฯ ที่มีต่อพันธมิตรของเราในภูมิภาค”
รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ยังแสดง “ความกังวลอย่างมากต่อท่าทีข่มขู่ไต้หวันและ(ประเทศอื่น ๆ)ในทะเลจีนใต้ของจีน”
ในส่วนของการดำเนินนโยบายที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้งนั้น แกรี มัวร์ อดีตผู้ประสานงานทำเนียบขาวด้านการควบคุมอาวุธและอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงในรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา เชื่อว่า รูบิโอน่าจะสนับสนุนการดำเนินแผนการทูตแบบส่วนตัวของทรัมป์กับคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ
ก่อนหน้านี้ รูบิโอเคยมีท่าทีสงสัยเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดทรัมป์-คิม ในรัฐบาลสมัยแรกของทรัมป์ แต่ในการขึ้นตอบคำถามคณะกรรมาธิการวุฒิสภาเพื่อรับรองการเสนอชื่อรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงฯ เขากลับกล่าวว่า วิธีทางการทูตแบบส่วนตัวของปธน.สหรัฐฯ คนที่ 47 คือสิ่งที่จะช่วยหยุดยั้งการทดสอบยิงขีปนาวุธของกรุงเปียงยางได้
และเมื่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับ โช เท-ยุล รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รูบิโอได้เน้นย้ำประเด็นที่ว่าความเป็นพันธมิตรนั้นคือ รากฐานสำคัญของสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลีและทั่วภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก
รายงานข่าวระบุว่า รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับ อิวายะ ทาเคชิ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น เรื่องความสัมพันธ์ของเกาหลีเหนือกับรัสเซียระหว่างการประชุมในกรุงวอชิงตันด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รูบิโอได้หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และเวียดนาม และได้เน้นย้ำประเด็นความมั่นคงทางทะเลที่มีเสถียรภาพในทะเลจีนใต้กับทุกคน
เมื่อพูดคุยกับ เอนริเก มานาโล รมว.ต่างประเทศฟิลิปปินส์ รูบิโอย้ำเรื่องของ “พฤติกรรมสั่นคลอนและเป็นอันตรายต่าง ๆ ของจีนในทะเลจีนใต้” และได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับ “พฤติกรรมก้าวร้าวของจีนในทะเลจีนใต้” ขณะหารือกับ บุย ทาน ซอน รัฐมนตรีเวียดนามด้วย
เกรกอรี โพลลิง ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) บอกกับ วีโอเอ เมื่อ 23 มกราคม ว่า รัฐบาลทรัมป์ “จะมองไปที่ฟิลิปปินส์และหุ้นส่วนอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่นและออสเตรเลียเป็นหลัก เพื่อปกป้องเสรีภาพทางทะเลในทะเลจีนใต้”
โพลลิงยังเชื่อว่า รัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะหัน “ไปมองเวียดนาม สิงคโปร์และอินโดนีเซียต่อไป เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางทะเลที่ใช้ได้จริงให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
ในเรื่องนี้ อันเรย์กา นาตาเลกาวา นักวิชาการด้านโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ CSIS บอกกับ วีโอเอ เมื่อ 23 มกราคม ว่า รูบิโอ “อาจผลักดันอินโดนีเซียให้แสดงจุดยืนที่แข็งขืนมากขึ้นเมื่อต้องรับมือกับกิจกรรมต่าง ๆ ของจีนในพื้นที่พิพาททางทะเล โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาเรื่องข้อตกลงพัฒนาทางทะเลอินโดนีเซีย-จีนซึ่งมีการลงนามกันในเดือนพฤศจิกายน ปี 2024 ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันอยู่”
ทั้งนี้ อินโดนีเซียและจีนลงนามในดีลมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปลายปีที่แล้วซึ่งตกลงที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมประมง การสำรวจหาก๊าซและน้ำมัน และด้านอื่น ๆ ของภาคเอกชน
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การผลักดันของกรุงวอชิงตันให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคดังกล่าวทำงานสอดคล้องใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มากขึ้นอาจนำมาซึ่งสถานการณ์ตึงเครียดบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเวียดนาม กัมพูชาและเมียนมาดูจะเอียงไปทางจีนมากกว่า ขณะที่ อินโดนีเซียพยายามรักษาสมดุลในการมีปฏิสัมพันธ์กับทั้งจีนและสหรัฐฯ อยู่
อาเซียนกระตุ้นข้อตกลงทะเลจีนใต้ - ยุติความรุนแรงเมียนมา
โรเบิร์ต แมคมาห์น ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศจาก Ohio State University กล่าวว่า จุดยืนที่แข็งกร้าวของรูบิโอในเรื่องจีนอาจทำให้อินโดนีเซีย “ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจาก(รัฐบาลจาการ์ตา)ไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการต่อต้านจีน” และว่า ถ้าสหรัฐฯ กดดันอินโดนีเซียให้ขยับมาทางตน ก็อาจทำให้เกิดภาวะขัดแย้งขึ้นได้
รายงานข่าวเปิดเผยว่า รูบิโอกล่าวกับเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตนเชื่อว่า ประเทศอื่น ๆ จะ “แสวงหาผลประโยชน์แห่งชาติของตัวเอง” แต่ก็ยังหวังว่า “จะมีหนทางอยู่มากมายที่ทำให้ผลประโยชน์แห่งชาติของเราและประเทศเหล่านั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้”
นอกจากนั้น เส่ง แวนลี ผู้ช่วยคณบดี Techo Sen School of Government and International Relations ที่มหาวิทยาลัยแห่งกัมพูชา (University of Cambodia) กล่าวว่า กรุงวอชิงตันน่าจะกดดันกัมพูชาหนักขึ้นในเรื่องสิทธิมนุษยชน ปัญหาด้านประชาธิปไตยและการจำกัดกิจกรรมภาคประชาสังคม ร่วมทั้งเรื่องความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นกับจีน
อย่างไรก็ดี ราห์มาน ยาคอบ นักวิจัยโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จาก Lowy Institute เชื่อว่า นโยบายต่างประเทศภายใต้รูบิโอน่าจะมุ่งเน้นการสร้างสมดุลในประเด็นต่าง ๆ เช่น สิทธิมนุษยชน ความมั่นคงในภูมิภาคและเป้าหมายทางเศรษฐกิจ โดยกล่าวว่า กรุงวอชิงตันน่าจะคำนึงถึงความเป็นจริงในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ มากกว่าจะหันไปทางใดทางหนึ่งอย่างหนัก
ที่มา: วีโอเอ