ขอบคุณภาพจาก PTI : Press Trust of India
19/4/2024
ชาวอินเดียมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งในวันศุกร์นี้ (19 เมษายน) ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเดิมพันว่านายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดีจะสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่ 3ได้หรือไม่
นี่จะเป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยมีผู้ลงทะเบียนลงคะแนนเสียงราว 968 ล้านคน ในจำนวนนี้ 48% จะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้หญิง นอกจากนี้ จะมีผู้ลงคะแนนเสียงครั้งแรก 18 ล้านคน
เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก การเลือกตั้ง 7 ระยะจะมีระยะเวลา 44 วัน ตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน ถึง 1 มิถุนายน ตามการระบุของคณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดีย
การเลือกตั้งทั่วไปปี 2024 จะแบ่งออกเป็น 7 ระยะในช่วง 6 สัปดาห์ข้างหน้า เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครจะได้นั่งในโลกสภา (Lok Sabha) ซึ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎรของอินเดียในช่วง 5 ปีข้างหน้า ไม่ว่าพรรคหรือแนวร่วมใดที่ชนะเสียงข้างมากจะได้เป็นผู้นำรัฐบาลและจะเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป นักวิเคราะห์คาดกันอย่างกว้างขวางว่าพรรคBharatiya Janata ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมฮินดูของโมดี จะได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายอีกครั้งในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น
Chietigj Bajpaee นักวิจัยอาวุโสประจำเอเชียใต้ที่ Chatham House กล่าว อินเดียได้สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับชาติตะวันตกในปีที่ผ่านมา และการเลือกตั้งใหม่ของโมดีสามารถกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เขากล่าวว่าอินเดียถูกมองว่าเป็น "ป้อมปราการต่อต้านจีน" เนื่องจากฝ่ายบริหารของไบเดนยังคงสนับสนุนบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ ให้ย้ายการดำเนินงานด้านการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีออกจากจีนไปยังประเทศที่เป็นมิตร เช่น อินเดีย
“หากมีสองประเทศที่มีฉันทามติในระดับสูงสุด ก็แสดงว่าจีนเป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ระยะยาวและอินเดียเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระยะยาว นั่นจะไม่เปลี่ยนแปลง” Bajpaee กล่าว
ในสภาผู้แทนราษฎรจะมีที่นั่งท้ังหมด 543 ที่นั่ง และพรรคหรือพรรคร่วมที่ได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 272 เสียงจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
มีผู้แข่งขันหลักสองรายของพรรคBharatiya Janata คือ แนวร่วมที่นำโดย BJP ที่รู้จักกันในชื่อ National Democratic Alliance (NDA) และกลุ่มฝ่ายค้านที่รู้จักกันในชื่อ Indian National Developmental Inclusive Alliance (INDIA)
แนวร่วมฝ่ายค้านก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว โดยมีพรรคฝ่ายค้านมากกว่า 40 พรรคเข้าร่วมกองกำลัง นำโดยNatioal Congress ซึ่งมีบุคคลสำคัญคือ ราหุล คานธี บุตรชายของราจิฟ คานธี หลานชายของอินทิรา คานธี และเป็นหลานชายของชวาหระลาล เนห์รู ซึ่งล้วนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินเดีย
พรรคNational Congress ซึ่งปกครองประเทศอินเดียมาเกือบตลอดยุคหลังการประกาศเอกราช ประสบความพ่ายแพ้อย่างเจ็บแสบในการเลือกตั้งในปี 2014 และ 2019
ในปี 2019 BJP ได้ที่นั่งทั้งหมด 303 ที่นั่ง เมื่อรวมกับ National Democratic Alliance ที่นำโดย BJP ก็สามารถคว้าที่นั่งได้ 352 ที่นั่ง ฝ่ายค้านสภาแห่งชาติอินเดียได้รับ 52 ที่นั่งในปีนั้น
ภายใต้การปกครองของโมดี เศรษฐกิจของอินเดียได้ขยายตัวไปสู่ระดับใหม่ ปัจจุบันเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมี GDP 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าที่จะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2027
อินเดียมีประชากร 1.4 พันล้านคน เป็นเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เศรษฐกิจเติบโต 7.2% ในปีงบประมาณ 2022-2023 ซึ่งสูงเป็นอันดับสองในกลุ่มประเทศ G20
กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโต 6.8% ในปี 2024 และ 6.5% ในปี 2025 เทียบกับที่จีนคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 4.6% ในปี 2024 และ 4.1% ในปี 2025
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นของอินเดียแซงหน้าฮ่องกงในเดือนธันวาคมจนกลายเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์คาดว่าโมดีจะชนะวาระ5ปีติดต่อกันเป็นครั้งที่สาม ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเส้นทางการเติบโตของอินเดียต่อไป
IMCT News
ที่มา CNBC