Thailand
“มาครง” ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนที่พ่ายแพ้ต่อกองทัพรัสเซีย
04/03/2024
นายเอมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสถูกเยาะเย้ยจากสื่อโซเซี่ยลของรัสเซียว่า ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนที่เจ็บปวดของของนโปเลียนที่พ่ายแพ้ต่อกองทัพรัสเซียในตอนต้นของศตวรรษที่ 19 หลังจากผู้นำฝรั่งเศสกล่าวในวันที่ 26กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่าฝรั่งเศส และนาโต้จำเป็นต้องส่งทหารเข้าไปในยูเครนเพื่อช่วยยูเครนรบ และสกัดไม่ให้รัสเซียมีชัยเหนือยูเครน
ประธานาธิบดีวราดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียออกมาตอบโต้อย่างทันควันว่า ถ้าหากนาโต้ส่งกองทัพเข้าไปรบในยูเครน จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น และอารยะธรรมโลกจะถูกทำลาย ปูตินย้อนถามว่าผู้นำตะวันตกไม่รู้ หรือไม่เข้าใจหรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือว่ามองเรื่องนี้เป็นการ์ตูน
ในประวัติศาสน์ท้ังนโปเลียน จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส และฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมันนีในสงครามโลกคร้ังที่ 2 ต่างได้ลิ้มรสของความเจ็บปวดในการรุกรานรัสเซียและต้องประสบความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
สงครามนโปเลียนอยู่ในความทรงจำและความภูมิใจของชาวรัสเซียไม่มีวันลืม แม้ว่าจะได้รับชัยชนะบนความสูญเสียและความเจ็บปวดที่มิอาจจะประเมินได้
ในเดือน มิถุนายนของ ปีคศ. 1812 พระเจ้านโปเลียนแห่งฝรั่งเศสยกทัพบุกรัสเซีย โดยหวังว่าจะบีบบังคับให่้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ยอมตกลงแบ่งเค็กในการยึดครองโปแลนด์ ถ้าหากชนะเอารัสเซียได้ นโปเลียนจะกลายเป็นราชันนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
กองทัพของพระเจ้านโปเลียนยิ่งใหญ่มาก เรียกว่าGrande Armee ทำการยกพลมากถึง680,000นาย แม้ว่าต้องเดินทัพเป็นระยะทางที่ไกลนากยุโรป นโปเลียนเร่งให้กองทัพมาถึงชายแดนตะวันตกของรัสเซียอย่างรวดเร็วเพื่อที่บีบให้กองทัพรัสเซียเข้ามาเผชิญหน้ากันและรบกันให้แตกหัก
กองทัพรัสเซียที่มีขนาดเล็กกว่ามากไม่อยู่ในฐานะที่จะต้านทานกองทัพของนโปเลียนได้
มีการปะทะกันที่Smolenskในเดือนสิงหาคม และกองทัพฝรั่งเศสได้ชัยชนะ นโปเลียนหวังว่าการสงครามจะยุติลงได้ โดยที่พระองค์ไม่จำเป็นต้องยาตราทัพลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย แต่กองทัพรัสเซียกลับล่าถอย ไม่ยอมเผชิญหน้าเพื่อรบกันซึ่งๆหน้า ยอมปล่อยให้เมืองSmolenskถูกเผา
นโปเลียนสั่งให้กองทัพฝรั่งเศส และทหารรับจ้างต่างชาติที่เข้าร่วมรบด้วยเดินหน้าลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ในขณะที่กองทัพรัสเซียถอยร่น พวกทหารคอสแซคทำให้ที่เผาหมู่บ้าน เผาเมืองและทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหาร เพื่อสกัดไม่ให้ทหารฝรั่งเศสมีเสบียงอาหาร แทคติกนี้ทำให้กองทัพฝรั่งเศสปั่นป่วนเป็นอย่างมาก เพราะว่าไม่คิดว่ารัสเซียจะยอมเผาทำลายบ้านเรือนของตัวเอง และทำให้ประชาชนคนท้องถิ่นรัสเซียนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสไปด้วย
เมื่อระบบเสบียงกรังถูกทำลาย ทหารฝรั่งเศสจึงไม่มีอาหารพอที่จะประทัง พระเจ้านโปเลียนบอกว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง แต่ท้องของทหารฝรั่งเศสมีแต่น้ำย่อยเพราะว่าไม่มีอาหารตกลงท้อง ทำให้เกิดความอดอยาก ทหารฝรั่งเศสต้องออกจากแคมป์ไปหาอาหารในตอนกลางคืน ในขณะเดียวกันพวกคอสแซคคอยแอบซุ่มโจมตี จับทหารฝรั่งเศสไปฆ่า
กองทัพรัสเซียถอยลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซียเป็นเวลา3เดือน ปล่อยให้กองทัพฝรั่งเศสถลำตัวเข้ามาเรื่อยๆ ยุทธการรบนี้เป็นวิธีการรบที่ฉลาด แต่พวกเศรษฐี หรือพวกผู้ดีที่สูญเสียดินแดนกดดันให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่1เปลี่ยนแม่ทัพจากจอมพลบาร์คเลย์ เป็นเจ้าชายมิไค คูตูซอฟ
ในวันที่7กันยายน กองทัพพระเจ้านโปเลียนเจอกับดักของกองทัพรัสเซียที่แอบขุดหลุมซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาบริเวณเมืองเล็กๆชื่อว่าBorodino ซึ่งอยู่หางจากมอสโควไปทางตะวันตกประมาณ70ไมล์ สงครามที่ตามมากลายเป็นวันที่นองเลือดที่สุดของกองทัพนโปเลียน โดยมีทหารเข้าร่วมต่อสู้กัน250,000คน และมีทหารเสียชีวิต70,000นาย กองทัพนโปเลียนประสบชับชนะ แต่บอบช้ำเป็นอย่างมาก เพราะว่าสูญเสียไพร่พล รวมทั้งแม่ทัพนายกองไปเป็นจำนวนมาก
กองทัพรัสเซียถอยร่นหนีไปอีก อีกสัปดาห์ต่อมา พระเจ้านโปเลียนเดินทางเข้าไปในมอสโคว พระองค์คาดการว่าจะพบกับคณะผู้แทนรัสเซียคอยต้อนรับเพื่อยอมรับความปราชัย และเซ็นข้อตกลงสงบศึก แต่ปรากฎว่ามอสโควแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง ประชาชนอพยพหนีออกจากเมืองไปหมด ผู้ว่าของมอสโควท่านเคาท์Fyodor Rostopchinสั่งให้เผาจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเมืองมอสโคว
พระเจ้านโปเลียนหวังว่าจะได้ชัยชนะในสงคราม แต่ชัยชนะในสมรภูมิไม่ได้หมายถึงชัยชนะในสงคราม
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่1ยอมเสียมอสโคว เพื่อที่จะรักษามอสโคว พระองค์ไม่ยอมแพ้ หรือขอเจรจาหย่าศึก
สถานการณ์ของพระเจ้านโปเลียนย่ำแย่ลงทุกวัน พระองค์คอยที่จะได้รับการขอเจรจาเพื่อสงบศึก หลังจากอยู่ในมอสโควเป็นเวลาหนึ่งเดือน พระเจ้านโปเลียนเคลื่อนทัพไปทางตะวันตกเฉียงใต้ไปยังเมืองKaluga ที่แม่ทัพKutuzovกำลังตั้งค่ายกองทัพรัสเซียคอยอยู่ มีการปะทะกันที่เมืองนี้ และที่ศึกทีMaloyaroslavets ถึงแม้ว่ากองทัพรัสเซียเร่ิมจะได้เปรียบ แต่ยังคงใช้ยุทธววิธีในการรบแบบเดิม คือจะถอยร่อนหลบหนีเมื่อได้จังหวะ เพราะว่าหลีกเลี่ยงการสูญเสียด้วยการไม่ต้องการเผชิญหน้าเพื่อรบกับกองทัพฝรั่งเศสโดยตรง วิธีการรบเช่นนี้จะทำให้กองทัพนโปเลียนอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการรบของกองทัพพระเจ้าซาร์ ความหนาวเหน็บของอากาศรัสเซียทำให้กองทัพฝรั่งเศสหมดแรง อาหารไม่พอกิน และเสื้อผ้าไม่พอที่จะให้ความอบอุ่น พระเจ้านโปเลียนจำต้องถอยทัพออกจากรัสเซีย ระหว่างทางรี้พลและม้าของกองทัพฝรั่งเศสต้องอดตาย หรือเหนื่อยตาย สลับกับการถูกพวกชาวนารัสเซียที่รวมตัวกันโจมตีในรูปแบบสงครามกองโจร รวมทั้งทหารคอสแซคที่โฉบเข้ามาโจมตีเป็นระยะๆ ทำให้เกิดมีการแตกทัพ และไร้ซึ่งวินัยในกองทัพฝรั่งเศส
เมื่อกองทัพฝรั่งเศสข้ามแม่น้ำBerezinaในเดือนพฤศจิกายน พระเจ้านโปเลียนสูญเสียทหารไป380,000นาย และอีก100,000นายถูกพวกรัสเซียนจับตัวเป็นเชลย
บรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองรุกเร้าให้พระเจ้านโปเลียนทิ้งทัพกลับกรุงปารีสอย่างอดสู เกียรติยศของพระองค์เสื่อมลงไปมากจากความปราชัยต่อกองทัพรัสเซียหลังจากทำสงครามมาเป็นเวลาไม่ถึง6เดือน สงครามนโปเลียนสิ้นสุดในวันที่14 ธันวาคม 1812 เมื่อกองทัพฝรั่งเศสหน่วยสุดท้ายเดินทางออกจากดินแดนรัสเซีย
ส่วนรัสเซียสูญเสียทหารไป210,000นายจากการป้องกันประเทศในครั้งนี้
ลีโอ ตอลสตอยเขียนหนังสือคลาสสิคเรื่องWar and Peaceเพื่อบรรยายเหตุการณ์สมัยพระเจ้าซาร์ผ่านตัวละครของ5ตระกูลขุนนางของรัสเซียในช่วงของการรุกรานของกองทัพพระเจ้านโปเลียน War and Peaceกลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิคที่ชาวรัสเซียนต้องอ่านทุกคน เพราะว่าหนังสือเล่มนี้สะท้อนจิตวิญญานของความเป็นรัสเซียนที่แท้จริง
ส่วนปีเตอร์ ไชคอฟสกี้ คีตกวีชาวรัสเซียนแต่งบทเพลง 1812 Overtureในปี 1880เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของกองทัพพระเจ้าซาร์ต่อกองทัพพระเจ้านโปเลียน ในบทเพลงนี้ มีเสียงปืนใหญ่ และมีทำนองเพลงชาติฝรั่งเศสปะปนเข้ามาเพื่อสะท้อนความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม นายมาครงในวันที่29 กุมภาพันธ์ให้สัมภาษณ์กับสื่อฝรั่งเศสว่า ตนยืนยันกับคำพูดที่คิดดีแล้ว ไตร่ตรอง คิดคำนวนดีแล้วว่า มีความจำเป็นที่ต้องส่งทหารฝรั่งเศส หรือนาโต้เข้าไปช่วยยูเครนรบเพื่อสกัดรัสเซีย
By Thanong Khanthong, Editor
อ่านเพิ่มเติม https://en.wikipedia.org/wiki/French_invasion_of_Russia
© Copyright 2020, All Rights Reserved