ขอบคุณภาพจาก Sputnik
31.10.2024
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว กลุ่มติดอาวุธเยเมนได้ปิดกั้นการเดินเรือพาณิชย์ของอิสราเอลและชาติตะวันตกในทะเลแดงอย่างได้ผล โดยใช้ขีปนาวุธพิสัยไกล ยานบินไร้คนขับ และเรือโดรน ปัจจุบัน กลุ่มดังกล่าวได้เพิ่มโดรนระเบิดใต้น้ำเข้าไปในคลังอาวุธของตนแล้ว
โดรนรุ่นใหม่นี้มีชื่อว่า Al-Qaria (แปลว่า 'ภัยพิบัติครั้งใหญ่' หรือ 'หายนะครั้งใหญ่') ควบคุมด้วยรีโมทคอนโทรล สามารถสำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบผ่านกล้องที่ติดอยู่ตรงแท่งด้านหลังของตัวโดรนที่ทำออกมาเป็นทางกระบอก
โดรนรุ่นใหม่นี้ มีขนาดเล็กเพียงไม่กี่เมตร และมีความสามารถในการดำน้ำลงไปใต้คลื่น จึงมีการคาดการณ์ว่า อาจสร้างความปวดหัวให้กับเรือสินค้าและเรือรบที่ปฏิบัติการในน่านน้ำท้องถิ่น โดรนรุ่นใหม่อาจใช้โซนาร์ที่สามารถตรวจจับเป้าหมายในเวลากลางคืนหรือในสภาพทัศนวิสัยต่ำได้ ตัวโดรนใช้สีดำและเหลืองตัดกัน ดูเผินๆ จะดูคล้ายสีของห่วงยางหรือเสื้อชูชีพ เพื่อให้ยากต่อการตรวจจับและทำลาย
สื่ออิสราเอลและอิหร่านได้วิเคราะห์และระบุว่าโดรนรุ่นใหม่ลำดังกล่าว ออกแบบตามโดรนตรวจการณ์ใต้น้ำ Remus 600 ของกองทัพเรือสหรัฐ ที่มีรายงานว่า ถูกกลุ่มฮูตียึดได้บริเวณนอกชายฝั่งเยเมนเมื่อปี 2018
โดรนที่ผลิตในสหรัฐฯ ลำนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อการทำแผนที่พื้นทะเล การสำรวจใต้น้ำ การค้นหาและกู้คืน และภารกิจจัดการทุ่นระเบิด โดยมีความยาว 3.25 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 32.4 เซนติเมตร น้ำหนัก 240 กิโลกรัม ปฏิบัติการต่อเนื่องสูงสุด 70 ชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 5 น็อต และลงไปปฏิบัติการที่ความลึกสูงสุด 600 เมตร
กลุ่มฮูตีได้ทดลองนำเอาโดรนที่พัฒนาขึ้นใหม่มาทดสอบทั้งทางบกและทางน้ำ ได้รับการออกแบบมาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับสหรัฐในไม่ช้า และใช้เป็นยุทโธปกรณ์ของฝั่งเยเมน จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวที่เป็นสมาชิกอาวุโสของกลุ่มฮูตี ซึ่งยังระบุว่า สหรัฐและอังกฤษ ต้องเข้าใจว่า พวกเขาไม่ควรมองข้ามและควรเรียนรู้ความล้มเหลวของตัวเองเมื่อครั้งที่ผ่านมา ซึ่งก็หมายถึงความพยายามของกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่จะหาทางจัดการกับกลุ่มฮูตี
ขีปนาวุธและโดรนของกลุ่มฮูตีมีขีดความสามารถในการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็จับตามองอยู่ โดยกองกำลังกึ่งทหารของเยเมนกลุ่มนี้ได้สร้างและติดตั้งขีปนาวุธและโดรนที่มีพิสัยการโจมตีไกลและแม่นยำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามารถโจมตีอิสราเอลและคุกคามเรือรบสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติการอยู่ในภูมิภาคได้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วารสารที่สังกัดสถาบันการทหารเวสต์พอยต์เปิดเผยว่า ขีปนาวุธของกลุ่มฮูตีตกลงมาห่างจากเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ USS Eisenhower เพียง 200 เมตรระหว่างการประจำการในช่วงฤดูร้อนนี้ และเมื่อต้นปีนี้ ขีปนาวุธของกลุ่มฮูตียังสามารถหลบเลี่ยงการป้องกันสองชั้นของเรือพิฆาตขีปนาวุธ USS Gravely ได้ ทำให้เรือต้องเปิดใช้งานระบบป้องกันระยะประชิด (CIWS) ซึ่งเป็นแนวป้องกันสุดท้ายเพื่อยิงขีปนาวุธดังกล่าว
วารสารดังกล่าวเน้นย้ำว่า “การผสมผสานระหว่างการเฝ้าระวังพื้นที่กว้าง การติดตามเป้าหมายในระยะใกล้ และการนำทางในระยะสุดท้าย ทำให้กลุ่มฮูตีสามารถบรรลุความสำเร็จที่น่าประทับใจในด้านความแม่นยำ”
กลุ่มฮูตีได้เริ่มปฏิบัติการโจมตีอิสราเอลด้วยโดรนและขีปนาวุธในเดือนตุลาคม 2023 และปิดเส้นทางการค้าเชิงยุทธศาสตร์ในทะเลแดงบางส่วนในอีกหนึ่งเดือนต่อมาเพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฉนวนกาซา โดยกลุ่มฮูตีให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติการต่อต้านอิสราเอลและพันธมิตรต่อไปจนกว่าอิสราเอลจะหยุดปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาและเลบานอน
สหรัฐฯ และอังกฤษจึงเริ่มปฏิบัติการทิ้งระเบิดโจมตีกลุ่มฮูตีเพื่อพยายาม “ลดทอน” ศักยภาพของกลุ่มในเดือนมกราคม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ เมื่อต้นเดือนนี้ รายงานของโครงการ Costs of War ของมหาวิทยาลัยบราวน์เปิดเผยว่าสหรัฐฯ ได้ใช้จ่ายเงินมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในการส่งกำลังไปประจำการในตะวันออกกลางในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งก็รวมถึงค่าใช้จ่าย 2.4 พันล้านดอลลาร์ที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มฮูตี
By IMCT NEWS