.

22/3/2024
Shaan Raithatha นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Vanguard ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทจัดการกองทุนรวมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ออกมาแสดงความเห็นว่า ธนาคารกลางสหรัฐไม่น่าจะลดดอกเบี้ยในปีนี้
ความเห็นของเขาเป็นไปในทิศทางตรงข้ามของตลาดที่เชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลง 3ครั้งในปีนี้ ตามสัญญาณที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดได้ระบุในวันพุธที่ผ่านมา
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ รวมท้ังการจ้างงานที่แข็งแกร่ง แม้ว่าเงินเฟ้อจะยังคงอยู่เหนือเป้าหมายของเฟดก็ตาม
“ดังที่คุณทราบกันดีว่าได้มีการปรับจำนวนคร้ังของการลดอัตราดอกเบี้ยจาก 7 ครั้งในช่วงต้นปีเหลือ 3 ครั้ง” Raithatha กล่าวกับ “Squawk Box Europe” ของ CNBC ในวันพฤหัสบดี
“ดังนั้น มันขึ้นอยู่กับเหตุผลว่าทำไม … หากเป็นเพราะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยด้านอุปทาน ซึ่งทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเช่นกัน บางทีตลาดหุ้นอาจพุ่งขึ้นต่อไปได้ แต่ที่ Vanguard เช่นกัน สิ่งที่เราเชื่อก็คือตลาดตราสารทุนของสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงเกินไปในระยะนี้”
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี (21มี.ค.)ทะยานขึ้น 269 จุด พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจากวานนี้ ขานรับผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 269.24 จุด หรือ 0.68% ปิดที่ 39,781.37 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 16.91 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 5,241.53 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 32.43 จุด หรือ 0.20% ปิดที่ 16,401.84 จุด
ดัชนีดาวโจนส์, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดัชนีแนสแด็กต่างทำสถิติปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้ หลังจากเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ย และยังคงส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้
ส่วนราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพฤหัสบดี (21มี.ค.) ปรับตัวขึ้น 23.70 ดอลลาร์ ขานรับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. 23.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 2,184.70 ดอลลาร์/ออนซ์ นอกจากนี้ ราคาทองได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง ทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.50% ในการประชุมวันนี้ (21 มี.ค. ) ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สวนทางการคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ และทำให้กลายเป็นธนาคารกลางรายใหญ่แห่งแรกที่เริ่มยุติการใช้นโยบายการเงินเชิงคุมเข้มที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ส่วนคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติด้วยคะแนนเสียง 8-1 ในการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ทั้งนี้ กรรมการ 8 รายลงมติให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25% ในการประชุมวันนี้ ขณะที่อีก 1 รายมีมติสนับสนุนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00% และยังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย.2021 ที่ไม่มีกรรมการคนใดเลยสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางแห่งญี่ปุ่น (Bank of Japan: BOJ) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากเดิม -0.1% ขึ้นมาเป็นระดับ 0%-0.1% หลังจากระดับค่าแรงปรับเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าและบริการที่ดีดตัวสูงขึ้น
IMCT News
อ้างอิง : Agencies