Thailand
18/5/2024
โธมัส แมสซี สส.สหรัฐจากพรรครีพับลิกัน หยิบยกร่างกฎหมาย“ The Federal Reserve Board Abolition Act เพื่อยกเลิกธนาคารกลางสหรัฐที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ และรอธไชด์อยู่เบื้องหลังการล็อบบี้ให้สภาคองเกรสผ่าน “ The Federal Reserve Act of 1913 เพื่อสร้างระบบธนาคารกลางสหรัฐขึ้นมาเพื่อบริหารปริมาณเงิน พิมพ์ดอลลาร์ และดูแลระบบธนาคารพาณิชย์ และระบบการเงิน
การดำรงอยู่ของเฟดความจริงแล้วขัดกับบทรัฐธรรมนูญสหรัฐที่ระบุว่า สภาคองเกรสเท่านั้นที่สามารถพิมพ์เงินดอลลาร์เพื่อใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ แต่เฟดเป็นสถาบันของเอกชน ซึ่งมีใจโน้มเอียงที่จะดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นที่เป็นธนาคารวอลล์สตรีท มากกว่าดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ ทำให้เห็นได้ว่าระบบการเงินสหรัฐเข้าสู่วงจรบูมกับพังทลาย (Boom & Bust Cycle) เป็นระยะๆ ผลที่ตามมาทำให้แบงค์วอลล์สตรีทมีทรัพย์สินที่มากขึ้นในขณะที่ธนาคารขนาดกลางขนาดเล็ก และธุรกิจรายย่อยได้รับผลกระทบ แต่ที่สำคัญที่สุด การเพิ่มปริมาณเงินของเฟดทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ดอลลาร์เสื่อมค่า และตอนนี้กำลังทำลายความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลลาร์ จากการที่เฟดเข้าไปอุ้มการใช้จ่ายที่เกินตัวของรัฐบาลสหรัฐ
สส. โทมัส แมซซี กล่าวว่า "ชาวอเมริกันกำลังทุกข์ทรมานจากภาวะเงินเฟ้อที่ทรุดโทรม และธนาคารกลางสหรัฐต้องถูกตำหนิ ในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด ธนาคารกลางสหรัฐได้สร้างเงินหลายล้านล้านดอลลาร์จากอากาศบางๆ และให้กระทรวงการคลังยืมเพื่อใช้ในการใช้จ่ายที่ขาดดุลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ด้วยการสร้างรายได้จากหนี้ ธนาคารกลางสหรัฐจึงลดค่าเงินดอลลาร์และเปิดใช้นโยบายเงินฟรีที่ทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อสูงอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน การสร้างรายได้จากหนี้เป็นความพยายามในการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างทำเนียบขาว ธนาคารกลางสหรัฐ กระทรวงการคลัง รัฐสภา ธนาคารขนาดใหญ่ และวอลล์สตรีท
“ผ่านกระบวนการนี้ ผู้เกษียณอายุจะเห็นว่าเงินออมของพวกเขาหายไปเนื่องจากการกระทำของธนาคารกลาง ที่ดำเนินนโยบายเงินเฟ้อที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มั่งคั่งและมีความเกี่ยวข้อง หากเราต้องการลดอัตราเงินเฟ้อจริงๆ นโยบายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการยุติธนาคารกลางสหรัฐ”
ความจริง มีความพยายามหลายโดยโดยนักการเมืองสหรัฐที่จะยกเลิกเฟด แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะว่าอำนาจเงินตราของวอลล์สตรีทยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้ใดจะต้านทาน
ในปี 2009 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร Ron Paul แห่งเท็กซัส เขียนหนังสือEnd the Fedออกมา กลายเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดอันดับ6ของนิวยอร์กไทมส์ พอลเป็นตัวตั้งตัวตีในการรณรงค์ให้ยกเลิกเฟด เขาเชื่อมั่นในกลไกตลาดเสรีในรูปแบบของLibertarianism ที่ต้องการเห็นบทบาทของรัฐบาลในการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจและการเงินที่น้อยที่สุด เขาสนับสนุนการยกเลิกระบบธนาคารกลางสหรัฐ "เพราะมันผิดศีลธรรม ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้ประโยชน์กับนายธนาคาร ส่งเสริมเศรษฐกิจที่ไม่ดี และบ่อนทำลายเสรีภาพ”
หนังสือEnd the Fedสร้างความฮือฮาให้กับวงการวอลล์สตรีทเป็นอย่างมาก เพราะว่าเขียนขึ้นมาหลังจากการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และระบบการเงินสหรัฐในปี 2008 ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดต้องพิมพ์เงินเข้ามาอุ้ม รวมทั้งรัฐบาลกลางที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ต้องใช้จ่ายงบประมาณมหาศาลเพื่อให้การช่วยเหลือระบบการเงิน พอลให้เหตุผลว่าการเฟื่องฟู ฟองสบู่ และการล่มสลายของวงจรธุรกิจมีสาเหตุมาจากการขยายตัวของปริมาณเงินของธนาคารกลางสหรัฐ
พอลให้เหตุผลว่า "ในโลกหลังการล่มสลาย เป็นเรื่องขาดความรับผิดชอบ ไม่มีประสิทธิภาพ และท้ายที่สุดก็ไม่มีประโยชน์ที่จะถกเถียงทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยไม่พิจารณาและท้าทายบทบาทของธนาคารกลางสหรัฐ
ใน End the Fed พอลให้เหตุผลว่า Federal Reserve ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันการอยู่รอดของธนาคารเอกชนเมื่อเจอวิกฤติ เขากล่าวว่าสิ่งนี้ไม่ดีต่อการแข่งขันในระบบธนาคาร เพราะมันทำให้ธนาคารใหญ่ ๆในเครือเฟด แข็งแกร่งขึ้น ส่วนธนาคารขนาดกลาง ขนาดเล็กถูกปล่อยให้ล้ม แล้วถูกควบรวมกิจการไป
การออกจากมาตรฐานทองคำทำให้เฟดไม่จำเป็นต้องมีวินัยทางการเงิน เพราะว่าสามารถเพิ่มซับไพลของเงินได้อย่างไม่จำกัด ผลที่ตามมาคืออัตราเงินเฟ้อที่สูง พอลมองว่าเงินเฟ้อคือภาษีที่แอบแฝง ทำให้การก่อสงครามทำได้ง่ายขึ้นผ่านการใช้งบประมาณขาดดุลของรัฐบาล ซึ่งมีกลไกของเฟดดูแลให้มีการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในการก่อหนี้
ทางออกคือให้มีการยุบเฟด แล้วให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกเงินตราดอลลาร์เอง แทนที่จะให้เฟดที่เป็นเอกชนผูกขาดการออกดอลลาร์ กลไกตลาดในระบบธนาคารจะเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเฟดเข้ามาแทรกแซง ธนาคารที่บริหารโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงจะถูกธนาคารอื่นๆในระบบลงโทษด้วยการไม่ให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องผ่านการกู้ยืมระหว่างธนาคาร หรือถูกประชาชนถอนเงินฝาก เมื่อธนาคารล้ม รัฐบาลต้องไม่เข้าไปอุ้ม แต่จะให้ระบบเข้าไปควบรวมกิจการ หรือสะสางกันเอง
By Thanong Khanthong, Editor
IMCT News
© Copyright 2020, All Rights Reserved