พระราชกรณียกิจ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 นับเป็นมหามงคลสมัยพิเศษยิ่ง สำนักข่าว IMCTNEWS น้อมนำเสนอพระราชปณิธานสืบสาน รักษา ต่อยอด เพื่อเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รวมทั้งร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ ทั้งการเสด็จพระราช ดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยิ่งเจริญพระชนมายุมากขึ้น พระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติก็เพิ่ม มากขึ้นนานัปการ ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์ และทรงปฏิบัติในส่วนพระองค์เอง พระราชวิริยอุตสาหะ และพระราชหฤทัยอันมุ่งมั่น เป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทยตลอดมา สมดังพระราชดำรัสที่ทรงปฏิญาณไว้ ทั้งมีพระราชดำรัส ย้ำถึงพระราชปณิธานที่จะทรงงานเพื่อ ความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์อีกครั้ง ในงานสโมสรสันนิบาตที่รัฐบาลจัดถวายเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่ได้ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็นสยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๕ ความว่า
“...ข้าพเจ้าทราบตระหนักว่า ข้าพเจ้ามีหน้าที่และความรับผิดชอบประเทศอย่างสูง และการปฏิบัติราชการ แผ่นดินนั้น เป็นภาระใหญ่ยิ่งที่ต้องอาศัยทั้งสติปัญญาและความรู้ความสามารถพร้อมมูล ข้าพเจ้าจะ ต้องเพียรพยายามศึกษาปฏิบัติฝึกฝนตนเองต่อไปอีกอย่างมาก เพื่อให้สามารถเหมาะสมกับหน้าที่ตาม ที่ทุกคนมุ่งหวัง... ในโอกาสอันพิเศษนี้ จึงใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายได้เป็นกำลังใจสนับสนุนข้าพเจ้า และได้ตั้งความปรารถนาร่วมกันกับข้าพเจ้าที่จะมุ่งมั่นประกอบกรณียกิจ ด้วยความสามัคคีพร้อมเพรียง และด้วยความสุจริตยุติธรรม เพื่อยังความเจริญมั่นคงและความร่มเย็นเป็นผาสุกให้บังเกิดแก่ชาติ ประเทศ และประชาชนยั่งยืน สืบไป...”
พระราชกรณียกิจด้านการทหาร
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับราชการทหารมาโดยตลอด นับแต่ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ ด้วยความสนพระราชหฤทัยในวิทยาการด้านการทหาร มาตั้งแต่ยังทรงพระ เยาว์ นอกจากทรงรับการศึกษาทางด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียแล้ว ยังทรงพระวิริยะ อุตสาหะ ในการเพิ่มพูนความรู้และพระประสบการณ์อยู่ตลอดเวลาที่ทรงรับราชการทหารจนทรงรอบรู้ เทคนิค สมัยใหม่ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระยศทางทหารของ ๓ เหล่าทัพ คือ พลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก และได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการทหาร โดยทรงเข้าร่วม ปฏิบัติการรบในหลายพื้นที่ รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่บริเวณรอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชาที่เขาล้าน จังหวัด ตราด ด้วย ซึ่งแม้เป็นพระราชภารกิจที่ต้องทรงเสี่ยงภยันตราย แต่ด้วยความที่ทรงเป็นชาติชายทหาร และ เป็นพระราชภารกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกร และเพื่อมนุษยธรรมต่อผู้ประสบทุกข์ยาก จึงทรงปฏิบัติ พระราชภารกิจ ดังกล่าวโดยเต็มพระราชกำลัง
รวมทั้งการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยม และพระราชทานขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจฝ่ายความมั่นคง ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ตลอดทั้งพสกนิกรในพื้นที่นั้น
พระราชกรณียกิจด้านการบิน
ความสนพระราชหฤทัยในกิจการด้านการบิน เริ่มต้นขึ้นในพระชันษา ๑๑ พระชันษา เมื่อเสด็จ พระราชดำเนินมาทอดพระเนตรกิจการของกองทัพอากาศ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้ง พระราชหฤทัยที่จะเป็น “นักบิน” ตั้งแต่นั้นมา พระคุณสมบัติในการเป็นนักบินที่มีความสามารถนั้น แสดง ให้เห็นประจักษ์มาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์
ตลอดระยะเวลาที่ทรงทำการบินนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ จะทำการบินให้ได้ประโยชน์และถูกต้องที่สุดในทุกเที่ยวบิน ถึงแม้ในการบินทั่วไป ความผิดพลาดหรือ หลงลืมเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นธรรมดาของนักบินทุกคน ดังนั้น ในเครื่องบินโดยสารทุกวันนี้จึงใช้นักบิน ๒ คน ทำงานร่วมกัน เพื่อคอยตรวจสอบซึ่งกันและกันอย่างไรก็ดี พระองค์ท่านจะทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ เกิดข้อผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย
จนถึงทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงทำการฝึกบินอยู่เป็นประจำ โดยมัก ทรงใช้เวลาช่วงเย็น โดยเมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาถึงอาคารทรงงาน หน่วยบินเดโชชัย ๓ จะเข้ารับถวาย การบรรยายสรุปเกี่ยวกับสภาพอากาศ และประกาศผู้ทำการในอากาศ จากนั้นจะเป็นแผนการบิน ประจำวัน วัตถุประสงค์ของการบิน โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นจะเป็นภาคการบินโดยทรง ทำการบินไปยังสนามบินต่าง ๆ ตามแผนการบินที่ได้วางไว้ราว ๓-๔ ชั่วโมงในแต่ละวัน เมื่อสิ้นสุดการฝึก แล้วจะทำการแถลงย่อการบิน โดยทรงซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ ทรงศึกษาจากประสบการณ์ และข้อ ผิดพลาด โดยทรงจดบันทึกอย่างละเอียดเก็บไว้ในแต่ละวัน ทั้งยังทรงจดจจำได้อย่างแม่นยำว่า เคยทรงทำ การฝึกอะไรไปแล้วบ้าง และได้ปรับปรุงไปอย่างไร จนกล่าวได้ว่า ทรงรักการบินเป็นชีวิตจิตใจ
พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบดีว่าเยาวชนในถิ่นทุรกันดารยังด้อย โอกาสในการศึกษา พระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนกระทรวงศึกษาธิการ จัดสร้างโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ในส่วนภูมิภาค 5 แห่ง
นอกจากเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์ด้วยพระองค์เอง และทรงรับโรงเรียนไว้ใน พระราชูปถัมภ์แล้ว ยังพระราชทานวัสดุอุปกรณ์การศึกษาอันทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ พระราชทานคำแนะนำ และทรงส่งเสริมให้โรงเรียนดำเนินโครงการอันเป็นประโยชน์แก่นักเรียน เช่น โครง การอาชีพอิสระ เพื่อให้เยาวชนใช้ความรู้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนและครอบครัวได้เมื่อจบการศึกษา เสด็จ พระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียน ทรงติดตามผลการศึกษา และโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ทรงร่วมกิจกรรมของ โรงเรียนต่าง ๆ เสมอ
ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ ได้มีพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จ พระ บรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.)” เพื่อเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนผู้ยากไร้แต่ เรียนดี ความประพฤติดี ให้ได้ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ต่อเนื่อง ไปจนจบปริญญาตรี และจนถึงขั้นสูงสุดตามความสามารถของผู้รับทุน เพื่อเป็นการสร้างทรัพยากร บุคคล ของชาติให้มีคุณภาพ
พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และการสาธารณสุข
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักว่าสุขภาพพลานามัยอันดีของประชาชนเป็น ปัจจัยสำคัญของการสร้างสรรค์ทรัพยากรบุคคลอันมีคุณภาพไว้เป็นพลังในการพัฒนาประเทศ จึงทรงสน พระราชหฤทัยในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น เมื่อ รัฐบาลน้อมเกล้าฯ ถวายโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เนื่องในพระราชพิธีอภิเษกสมรส จำนวน ๒๑ แห่ง ทั่วทุกภูมิภาคของ ประเทศ
ทรงพระอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงไปทรงวางศิลาฤกษ์ ทรงเปิดโรงพยาบาล ทรงตรวจ เยี่ยมการปฏิบัติงานของคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ ณ โรงพยาบาลต่าง ๆ โดยสม่ำเสมอ พระราชทาน พระราชทรัพย์สนับสนุนให้มีอุปกรณ์การแพทย์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยเพื่อสามารถให้บริการที่ดีแก่ ประชาชน และทรงรับผู้ป่วยยากไร้ไว้ในพระราชานุเคราะห์ ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำรัสแก่ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล มีความส่วนหนึ่งว่า
“ทุกคนที่ทำงานให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจะต้องไม่ลืมว่าโรงพยาบาลแห่งนี้กำเนิดขึ้น จากความมุ่งปรารถนาอย่างแรงกล้าของคนไทยทั่วราชอาณาจักร ที่ต้องการจะเห็นผู้ที่อยู่ในท้องถิ่น ทุรกันดารทุกหนแห่งได้รับความเอาใจใส่รักษาพยาบาลเป็นอย่างดี ให้ปลอดภัยจากความเจ็บไข้โดยทั่วถึง เสมอหน้ากัน"
พระราชกรณียกิจด้านการพระศาสนา
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร ทรงแสดงพระองค์ เป็นพุทธมามกะที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๙ ก่อนเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาที่ประเทศ อังกฤษและมีพระราชศรัทธาทรงออกผนวชในพระบวรพระพุทธ ศาสนา เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๑ ระหว่างทรงผนวช ทรงศึกษา
และปฏิบัติติพระธรรมวินัยอย่าง เคร่งครัด นอกจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไป ปฏิบัติพระราชกิจทางศาสนาเป็นประจำเสมอ เช่น ทรงเปลี่ยน เครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตน ศาสดาราม ตามฤดูกาลเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไป ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และ การถวายกฐินหลวงตามวัดต่าง ๆ เป็นต้น
พระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระวิริยะอุตสาหะประกอบพระราชกรณียกิจสำคัญ ๆ ในการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ เสมอมา ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จ พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปทรงเยือนมิตร ประเทศทั่วทุกทวีปอย่างเป็นทางการเป็นประจำทุกปีปีละหลายครั้ง
ในการเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศทุกครั้งจะทรงเตรียมพระองค์ด้วยการศึกษาเกี่ยวกับ ประเทศที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนอย่างละเอียด ระหว่างประทับอยู่ในประเทศดังกล่าว ทรง มุ่งมั่นสร้างสานเจริญทางพระราชไมตรีและสนพระราชหฤทัยที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร กิจการ และศึกษากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อทรงนำกลับมาปรับและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการ พัฒนาประเทศ เช่น เสด็จไปทรงเยี่ยมชมกิจการทหาร การจราจรทางอากาศ เมื่อทรงเยือนประเทศในทวีป อเมริกาใต้ ทอดพระเนตรสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรม กิจกรรมด้านอุตสาหกรรม และชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชน เมื่อทรงเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมศรีลังกา ทอดพระเนตรการ ดำเนินงานด้าน การป้องกันสาธารณภัยที่ประเทศเกาหลี เป็นต้น
ทรงเป็นผู้แทนพระองค์ในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะและอาคันตุกะของรัฐบาลที่เสด็จมาเยือน และมาเยือนประเทศไทยในโอกาสต่าง ๆ ทรงเป็นผู้แทนพระองค์ในการรับทูตประเทศต่าง ๆ และได้ พระราชทานพระราชวโรกาสให้บุคคลสำคัญของต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในโอกาสที่มาเยือนประเทศไทยอยู่เสมอ
พระราชกรณียกิจด้านการกีฬา
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติติพระราชกรณียกิจทั้งในฐานะผู้แทนพระองค์และในส่วน ของพระองค์เองนานัปการ เช่น การพระราชทานไฟพระฤกษ์ กีฬา เยาวชนแห่งชาติพระราชทานพระราชวโรกาสให้นักกีฬาไทยผู้นำ ความสำเร็จนำเกียรติยศมาสู่ประเทศชาติเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท รับพระราชทานรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม รับพระราชทานพร และ ทรงแสดงความชื่นชมยินดี ซึ่งนักกีฬาของไทยต่างสำนึกในพระมหา กรุณาธิคุณมีความปลาบปลื้มในสิริมงคลและมีขวัญกำลังใจที่จะนำ ความสำเร็จและนำเกียรติยศมาสู่ตนเอง สู่วงศ์ตระกูล และประเทศ ชาติต่อไป
พระราชกรณียกิจด้านการสังคมสงเคราะห์
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาห่วงใยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนที่ด้อยโอกาสและขาดแคลน ได้ทรงพระ อุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมชุมชนแออัดใน กรุงเทพฯหลายแห่ง เช่น ชุมชนแออัดเขตพระโขนงเขตคลองเตย เขตยานนาวา เป็นต้น ทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องกีฬา เครื่องดับเพลิง โปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารใน บังคับบัญชาของพระองค์ ร่วมกับประชาชนพัฒนาสิ่งแวดล้อม ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนโครงการของชุมชน เช่น โครงการพัฒนาเด็กเล็กที่ขาดแคลน โครงการปราบปราม ยาเสพติดในหมู่เยาวชนชุมชนแออัดคลองเตย เพื่อให้เยาวชน ผู้ด้อยโอกาสเหล่านั้นเติบโตเป็นพลเมืองดีและเป็นทรัพยากร บุคคลที่มีคุณค่าในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
พระราชกรณียกิจด้านการเกษตร
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญ พระราชกรณียกิจเพื่อส่งเสริมด้านการเกษตรกรรมอันเป็น อาชีพหลักของปวงชนชาวไทยตลอดมา เช่น เสด็จพระราชดำเนิน แทนพระองค์ในการพระราชพิธีพืชมงคล ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นประจำ
พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบด้วยพระเนตรพระกรรณ ถึงปัญหาความทุกข์ยาก ของราษฎรมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จากการตามเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราช ชนนี ออกเยี่ยมเยียนพสกนิกรทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทรงพระวิริยะอุตสาหะเอาพระราชหฤทัยใส่ใน การเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท สมเด็จพระบรมราชบุพการี ด้วยทรงตระหนักถึงพระราชภาระอันสำคัญที่ รอคอยอยู่ในภายภาคหน้า และด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาต่อประชาชนทุกผู้ทุกนาม และทุกหมู่เหล่า
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริก่อเกิดด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ต่อเนื่องยาวนานมากว่า ๒๗ ปี ตั้งแต่ครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วยพระวิสัยทัศน์ และ สายพระเนตรที่ยาวไกล โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงครอบคลุม ในทุกด้าน ทั้งการพัฒนาแหล่ง น้ำ การพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกร การสาธารณสุข การศึกษา การรักษา
ทรัพยากรธรรมชาติ และความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาแหล่ง น้ำ ทรงดำเนินตามรอยพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบรมชนกนาถที่ทรงให้ ความสำคัญกับ “น้ำ” ที่เป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ ของพสกนิกรโดย ถ้วนทั่ว เริ่มต้นจากการพัฒนาแหล่งน้ำในหลากหลายรูปแบบมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ จนถึง ปัจจุบัน โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริตรง ที่พระราชทานเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไป ในพื้นที่ต่าง ๆ มีจำนวน ๖๑ โครงการ ใน ๑๒ จังหวัด ทุกภูมิภาค จากหมู่บ้านชายขอบบนภูเขา ทาง ภาคเหนือจดหมู่บ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดเชียงใหม่ ราชบุรี จันทบุรี อุดรธานี จนถึง จังหวัดนราธิวาสเพื่อช่วยพลิกฟื้นชีวิตราษฎรตามความต้องการของประชาชนและ ความเหมาะสมของ
สภาพภูมิประเทศ
นับจากนั้นเป็นต้นมา ในเกือบทุกครั้งที่โดยเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเยี่ยม ราษฎรในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงงานด้านศิลปาชีพมักทรงแยกไปทอดพระเนตร ความเป็นอยู่ของราษฎรและพระราชทานแนวพระราชดำริในการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อช่วยเหลือปัดเป่า ความเดือดร้อนให้กับราษฎรในพื้นที่นั้น
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครอบคลุมตั้งแต่การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ฝาย แก้มลิง บ่อเก็บน้ำ ท่อระบายน้ำ ระบบส่งน้ำ และการปรับปรุงอ่างเก็บน้ำ ฝายอาคาร บังคับน้ำ ระบบและท่อส่งน้ำ ทำนบดิน การจัดหาน้ำเพื่อช่วยเหลือพื้นที่ การเกษตรและการอุปโภคบริโภคของประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ และการ พัฒนาพื้นที่แบบบูรณาการ
ทั้ง ๖๑ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระจาย อยู่ในทุกภูมิภาค คือ ภาคเหนือ มี 5 โครงการ ใน ๒ จังหวัด เชียงราย และเชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม ๑๒ โครงการ ใน ๕ จังหวัด คือ อุบลราชธานี มุกดาหาร บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุดรธานี และสกลนคร ภาคกลาง ที่จังหวัด ราชบุรี รวม ๕ โครงการ ขณะที่ภาคใต้ เป็นภาคที่ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการมากถึง ๓๗ โครงการ ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
*********************************************************
ที่มา : มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ