ขอบคุณภาพจาก Xinhua
13.07.2024
อุบัติเหตุเมื่อไม่นานมานี้ ที่เกิดขึ้นกับรถแท็กซี่ไร้คนขับของบริษัท Baidu ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน ที่ชนคนเดินเท้าเล็กน้อย โดยรถยังคงวิ่งแม้ไฟจราจรจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว เหยื่อถูกนำส่งโรงพยาบาล ตรวจไม่พบอาการบาดเจ็บภายนอก เหตุเกิดในเมืองอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย จุดประเด็นการโต้เถียงเกี่ยวกับความท้าทายและข้อจำกัดของเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับอีกครั้ง
เหตุเกิดขึ้นในช่วงที่มีการทำการตลาดรถแท็กซี่ไร้คนขับในหลายเมืองมากขึ้นทั่วประเทศจีน ทั้ง ปักกิ่ง ฉงชิ่ง อู่ฮั่น และเสิ่นเจิ้น ก่อให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการจ้างงาน เพราะคนขับแท็กซี่ต่างกลุ้มใจว่า พวกเขาจะไม่มีงานทำอีกต่อไป เพราะต้องเผชิญการแข่งขันอย่างหนักจากแท็กซี่ไร้คนขับ ที่คิดค่าเดินทางถูกกว่าแท็กซี่ในแบบเดิม
รัฐบาลจีนกำลังผลักดันให้มีการนำรถยนต์ไร้คนขับมาใช้อย่างแพร่หลาย โดยบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งได้ทดสอบการใช้งานรถแท็กซี่ไร้คนขับในเมืองใหญ่ แม้ว่าเทคโนโลยีนี้อาจจะช่วยให้การขนส่งสะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากขึ้นในอนาคต แต่เหตุการณ์ที่เกิดในอู่ฮั่นชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคที่ยังคงอยู่
ปัจจุบัน Baidu มีรถแท็กซี่ไร้คนขับ ให้บริการในเมืองอู่ฮั่นมากกว่า 500 คัน และคาดว่า จะเพิ่มเป็น 1,000 คัน ก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งยังมีแผนจะเพิ่มจำนวนรถและพื้นที่ปฏิบัติการไปทั่วประเทศ รวมถึงการสร้างเขตพื้นที่ให้บริการเรียกรถแท็กซี่ไร้คนขับที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นักวิจัยยานยนต์ของจีน มองว่า เทคโนโลยีแท็กซี่ไร้คนขับมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังเผชิญความยุ่งยากภายใต้เงื่อนไขสภาพถนนที่ซับซ้อนและปรับเปลี่ยน และยังมีข้อจำกัดเรื่องพฤติกรรมไม่คาดฝันของคนใช้รถใช้ถนน เช่น ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร แต่แท็กซี่ไร้คนขับก็ยังรับประกันได้ในเรื่องความปลอดภัย อุตสาหกรรมด้านนี้ ยังอยู่ระหว่างการลดต้นทุนการผลิต และคาดว่า ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี จึงจะผลิตในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มรูปแบบจริงๆ ตอนนี้ จึงให้บริการอยู่แค่ในบางเมืองเท่านั้น
เมื่อไม่นานมานี้ ทางการกรุงปักกิ่งประกาศแผนจะสนับสนุนให้ใช้ยานยนต์ไร้คนขับ สำหรับการเดินทางด้วยรถเมล์ไฟฟ้าในตัวเมือง บริการเรียกรถ และรถเช่า ตอนนี้ มีกว่า 20 เมืองในจีนใช้นโยบายหนุนให้ทดสอบการใช้รถไร้คนขับ และมีกว่า 60 บริษัทได้รับใบอนุญาตทดสอบรถไร้คนขับแล้ว
แต่อุปสรรคบางอย่างก็ยังมีอยู่ ในการบูรณาการรถไร้คนขับเข้ากับระบบจัดการความปลอดภัยจราจรบนท้องถนนในปัจจุบัน เพราะรถไร้คนขับยังไม่มีสถานะชัดเจนภายใต้กฎหมายและกฎระเบียบที่ใช้อยู่
สมาชิกคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ยืนยันว่า รถยนต์ไร้คนขับไม่ใช่ภัยคุกคามแท็กซี่ในแบบเดิม เพราะผู้คนแค่อยากทดลองเทคโนโลยีใหม่เท่านั้น และจำนวนแท็กซี่ไร้คนขับก็มีน้อยกว่ารถแท็กซี่ทั่วไปอยู่มาก
การพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับ จะช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนโฉมไปสู่ยุคอัจฉริยะของอุตสาหกรรมรถยนต์ กระตุ้นยอดขายของอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนรถยนต์ และเร่งการสร้างระบบประสานงานระหว่างรถยนต์กับถนน ซึ่งจะรองรับการส่งถ่ายข้อมูลจากรถไปยังเครือข่ายถนน เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการจราจร
รายงานจากบริษัทวิจัย BloombergNEF ระบุว่า จีนจะเป็นผู้นำในการใช้รถแท็กซี่ไร้คนขับมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนรถมากถึง 12 ล้านคัน ภายในปี 2040 ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะมีประมาณ 7 ล้านคัน
By IMCT NEWS
อ้างอิงจาก: https://www.chinadaily.com.cn/a/202407/12/WS669065cfa31095c51c50dab8.html