1/5/2024
แบงก์ชาติ ชี้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน อ่อนค่าแล้ว 7.8% เกือบอ่อนสุดในภูมิภาค ชี้เป็นปัจจัยชั่วคราว จากฤดูการจ่ายเงินปันผล โลว์ซีซั่นท่องเที่ยว
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในวันอังคาร (30 เมษายน )ว่า ด้านอัตราแลกเปลี่ยนของไทย พบว่าอ่อนค่ามากขึ้น โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินบาทอ่อนค่าลง 7.8% โดยอ่อนค่ามากขึ้น หากเทียบกับบางประเทศในภูมิภาค
เช้าวานนี้ เงินบาทแตะระดับ37.21บาทต่อดอลลาร์
ส่วนใหญ่มาจากการที่นักลงทุนมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงช้ากว่าคาด ทำให้เงินลงทุนส่วนใหญ่ ไหลกลับเข้าไปสู่ดอลลาร์ หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นราว 4.4% หากเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
โดยการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนของไทย ถือว่าเคลื่อนไหวตามค่าเงินในภูมิภาค และอ่อนค่ารองจากเงินเยน ญี่ปุ่น ที่อ่อนค่าเกือบ 10%
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาท ส่วนหนึ่งได้รับแรงกดดันจากเชิงฤดูกาล ที่เป็นช่วงการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน และโลว์ซีซั่นของภาคการท่องเที่ยว ที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยชั่วคราว โดยมองว่าหลังจากนี้ หากนักท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มดีขึ้นได้
ในขณะเดียวกัน นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดการเงินในเดือนที่ผ่านมาผันผวนค่อนข้างสูง ทั้งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดพันธบัตรรัฐบาล โดยมีเหตุการณ์สำคัญคือ สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่งทำให้ตลาดปรับมุมมองการดำเนินนโยบายของ Fed และล่าสุดคือการแทรกแซงค่าเงินเยนของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินบาทเดือนที่ผ่านมาอ่อนค่าเร็ว โดยหลังเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน เงินบาทอ่อนค่าราว 1.6% อย่างไรก็ดี การอ่อนค่านี้ยังใกล้เคียงกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค สำหรับทั้งปี 2024 ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าถึง 7.6%
ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค เป็นรองแค่เงินเยนที่อ่อนค่าถึง 9.2% นอกจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitical risk) แล้ว แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ก็ส่งผลต่อเงินบาทเช่นกัน โดยคณะกรรมการ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่ตลาดประเมิน ทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มเติม
และสุดท้าย การอ่อนค่าของสกุลเงินอื่นในภูมิภาคทั้งเงินหยวนและเงินเยน ก็เป็นปัจจัยกดดันให้บาทอ่อนค่าตามเช่นกัน
สำหรับมุมมองในระยะต่อไป มองเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ากว่าที่เคยประเมินไว้ โดยมองเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ในกรอบ 36.80-37.30 ในช่วง 1 เดือนจากนี้ เนื่องจาก
1) เงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่ลดลงช้าและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้นโยบายการเงินของ Fed และธนาคารกลางหลักอื่นอาจแตกต่างกันมากขึ้น โดย Fed อาจลดดอกเบี้ยช่วง Q3 ขณะที่ ECB อาจลดดอกเบี้ยตั้งแต่กลางปีนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์จะแข็งค่าต่อ กดดันสกุลเงินอื่นในภูมิภาคและเงินบาท
2) ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยลดลงกว่าที่เคยประเมินไว้ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า โดย SCB FM พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันและค่าเงินบาทสูงขึ้นนับตั้งแต่ผ่านพ้นวิกฤต Covid-19 เนื่องจากสัดส่วนสินค้ากลุ่มพลังงานต่อดุลการค้าไทยเพิ่มขึ้น
3) แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกในช่วงไตรมาสที่ 2 เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทต่างชาติมักส่งเงินกลับ ทำให้อาจกดดันเงินบาทอ่อนค่าได้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายภาครัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย
IMCT News
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1124703