รัฐบาลรุกจัดการแหล่งปิโตรเลียมอ่าวไทย ครม.ต่ออายุ - โอนหุ้น สัมปทาน 3 แปลง
18-12-2024
รัฐบาลมีแนวคิดเพิ่มความมั่นคงพลังงานโดยสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น โดยนอกจากการหาข้อสรุปเรื่องการใช้พื้นที่พลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ยังมีการต่ออายุและบริหารจัดการผู้ถือหุ้นในแหล่งสัมปทานที่ดำเนินการอยู่ให้มีศักยภาพมากขึ้นด้วย
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบการบริหารจัดการปิโตรเลียมในพื้นที่อ่าวไทยเพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยในส่วนแรก ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ การโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 3/2549/71 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G12/48 โดยอนุมัติให้บริษัทโททาลเอนเนอร์ยี่ส์ อีพี ไทยแลนด์ โอนสิทธิ์ประโยชน์ และพันธะที่ถือครองอยู่ในพื้นที่นี้สัดส่วน 33.33% ให้แก่บริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
โดยกระทรวงพลังงานจะออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม ตามกฎหมายที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ.2555 ต่อไป
ปตท.สผ.ถือหุ้น 100% ส่งผลดีต่อบริหารจัดการ
ทั้งนี้เมื่อบริษัท ปตท.สผ.ถือสัมปทานหลังจากการโอนสิทธิ์แล้ว 100% จะทำให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่เพื่อประโยชน์ของประเทศไทยได้มากขึ้น โดยแหล่งสัมปทานบริเวณแหล่งนี้ครอบคลุมบริเวณแหล่งผลิตปิโตรเลียมต้นคูนเหนือสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้ 10 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันและผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวได้ 164 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งแหล่งนี้มีอายุสัมปทานเหลืออยู่จนถึงวันที่ 14 มี.ค.2578 โดยการโอนสิทธิ์ในการบริหารพื้นที่สัมปทานนี้จะไม่กระทบกับค่าภาคหลวงและผลประโยชน์ปิโตรเลียมที่ประเทศไทยจะได้รับแต่อย่างใด
ต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบัวหลวง
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.วันนี้รับทราบการต่ออายุการผลิตปิโตรเลียมเลขที่ 3/2539/50 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข B8/38 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่แหล่งปิโตรเลียมบัวหลวงให้กับบริษัทแมคโค เอนเนอยี่ ไทยแลนด์ (บัวหลวง) ลิมิเต็ด ผู้รับสัมปทานและผู้ดำเนินงานสัมปทานรายเดิม ซึ่งจะหมดอายุสัมปทานในวันที่ 23 ต.ค.2568 โดยการต่ออายุสัมปทานจะทำให้ผู้ผลิตรายเดิมได้สิทธิ์ผลิตปิโตรเลียมต่อไปอีก 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค. 2568 – 23 ต.ค.2578
โดยพื้นที่การผลิตแหล่งบัวหลวงมีศักยภาพปิโตรเลียม ได้แก่ พื้นที่ผลิตปิโตรเลียมบัวหลวงจำนวน 379 ตารางกิโลเมตร เริ่มผลิตน้ำมันดิบตั้งแต่ปี 2551 มีปริมาณการผลิตน้ำมันสะสม 46.2 ล้านบาร์เรล มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบ ณ สิ้นปี 14.86 ล้านบาร์เรล ซึ่งเมื่อมีการต่ออายุสัมปทานให้อีก 10 ปี ผู้รับสัมปทานจะดำเนินการเจาะหลุมสำรวจหรือหลุมสำรวจเพื่อหาปิโตรเลียมเพิ่มเติม
ผลประโยชน์พิเศษ 672 ล้าน
ทั้งนี้ในการต่อสัมปทานครั้งนี้ผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับภายใต้ระบบ Thailand II ซึ่งเป็นระบบจัดเก็บรายได้ที่ใช้อยู่เดิม นอกจากจะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว รัฐจะได้ผลประโยชน์พิเศษเพิ่มเพิ่มนอกเหนือจากค่าภาคหลวงและภาษีเงินได้ปิโตรเลียม โดยผู้รับสัมปทานได้เสนอข้อผูกพันการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมถึงผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 672 ล้านบาท (19.2 ล้านดอลลาร์) จาก
1.ผู้รับสัมปทานจะดำเนินการเจาะหลุมสำรวจหรือหลุมประเมินผลในชั้นหินฐานในบริเวณที่ไม่มีสิ่งติดตั้ง (Open Water Well) จำนวน 1หลุม โดยมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ 2.5 ล้านดอลลาร์
2.ผู้รับสัมปทานจะศึกษาทางเทคนิคเพื่อการพัฒนาปิโตรเลียมเช่น กระบวนการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กระบวนการเพิ่มปริมาณการผลิตจากแหล่งกักเก็บหรือวิธีการที่ช่วยในการผลิตน้ำมันดับขึ้นมาจากหลุมหลังจากที่ได้มีการผลิตตามธรรมชาติแล้ว เป็นต้น โดยมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ 2 แสนดอลลาร์
3.ผู้รับสัมปทานจะดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำจากกระบวนการผลิต ปิโตรเลียม และอาจดำเนินการอื่นร่วมด้วยเพื่อจุดประสงค์ในการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม ในพื้นที่และนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ได้แก่ การเจาะหลุมสำรวจหรือหลุมประเมินผลจากสิ่งติดตั้งที่มีอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทราบศักยภาพปิโตรเลียมหรือยังไม่มีหลุมผลิต หรือการเพิ่มประสิทธิหรือการเจาะหลุมผลิตเพิ่มเติมจากแผนพัฒนาหลัก โดยมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำรวม15 ล้านดอลลาร์
และ 4.ผู้รับสัมปทานตกลงให้ผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ ได้แก่ โบนัสการลงนาม ค่าตอบแทน การต่อระยะเวลาผลิต โบนัสการผลิตเมื่อได้รับการต่อระยะเวลาผลิต เงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนาปิโตรเลียม ในประเทศไทย รวมเป็นเงินประมาณ 725 ล้านบาท (21.5 ล้านดอลลาร์) นอกจากนี้ผู้รับสัมปทานยังยินยอมที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงการให้เงินทุนฝึกอบรมทางด้านวิชาการ การรื้อถอนสิ่งดีดตั้งและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียม การจัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อเตรียมการสำหรับการรับช่วงต่อความเป็นผู้ดำเนินงาน และการยินยอมให้เข้าพื้นที่สัมปทานเพื่อให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
เพิ่มส่วนถือหุ้นแวลูร่าเอ็นเนอร์ยี่
สำหรับแหล่งปิโตรเลียมอีกแหล่งในอ่าวไทยที่ ครม.มีมติที่เกี่ยวข้องได้แก่ การโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 8/2559/76 แปลงสำรวจหมายเลขา G10/48 โดย ครม.เห็นชอบให้มีการโอนสิทธิ์ประโยชน์และพันธะที่ถือครองของ บริษัท พลังโสภณ จำกัด ในสัดส่วน 11% ให้กับบริษัทแวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้บริษัทนี้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นในพื้นที่นี้ของแวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่อยู่ที่ 75% จากเดิม 64%
ลุ้นผลิตน้ำมันดิบเพิ่ม
โดยพื้นที่นี้อยู่ในระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมตามสัมปทานเดิม 20 ปี ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 2558 - 7 ธ.ค.2578 โดยเมื่อวันที่ 9 ก.พ.2558 ได้มีการอนุมัติพื้นที่นี้ให้เป็นพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมจำนวน 1 พื้นที่คือแหล่งพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมวาสนาโดยแหล่งผลิตปิโตรเลียมนี้เคยปิดไปครั้งหนึ่งในเดือน พ.ค.2563 เนื่องจากราคาน้ำมันตกต่ำ แต่ล่าสุดผู้รับสัมปทานได้ลงทุนและดำเนินการให้สามารถกลับมาผลิตน้ำมันดิบได้อีกครั้ง เมื่อ 28 เม.ย.2566
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานพิจารณาว่าการโอนสิทธิ์ของบริษัทพลังโสภณให้กับบริษัท บริษัทแวลูร่า เอ็นเนอร์ยี่ จะช่วยให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินงานในการนำเอาปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ค้นพบแล้วขึ้นมาพัฒนา และรัฐจะมีรายได้จากค่าภาคหลวงเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
ที่มา bangkokbiznews.com