.
การเมืองโลกยุคใหม่ บีบไทยเลือกข้าง ?
17-11-2025
ข่าวการเสด็จเยือนประเทศจีนครั้งประวัติศาสตร์ในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี ในช่วงเวลานี้ได้ถูกสื่อต่างประเทศนำเสนอในเชิงวิเคราะห์ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในประเด็นที่พยายามชี้ให้เห็นว่า “จีนกำลังแสดงบทบาทพันธมิตรที่พึ่งพาได้” โดยระหว่างนี้ จีนได้ตกลงซื้อข้าวไทยจำนวน 5 แสนตัน ด้วย แน่นอนว่า การเสด็จเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ และเป็นครั้งประวัติศาสตร์นี้ ย่อมต้องได้รับการจับตามองอย่างยิ่ง ซึ่งทางการจีน โดยประธานาธิบดี จีน สี จิ้นผิง ได้ถวายการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติยิ่ง
เอกอัครราชทูตจีนประจำไทย จาง เจี้ยนเว่ย์ (Zhang Jianwei) ได้เขียนบทความลงสื่อไทยสัปดาห์ที่แล้ว ประกาศถึงความสำคัญการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนครั้งนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจในความกระตือรือร้น ในทั่วทุกภาคส่วนของ 2 ชาติเพื่อความร่วมมือในเชิงปฏิบัติ เขากล่าวอีกว่า ความความสัมพันธ์ของ 2 ชาตินั้น ยังคงลุกโชนเสมอ
เอกอัครราชทูตจีนชี้ว่า ไทยเป็นชาติแรกในหลายทางในความร่วมมือระดับทวิภาคีกับจีน ทั้งเป็นชาติแรกในอาเซียนที่สถาปนาความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ แบบครอบคลุมกับปักกิ่ง เป็นชาติแรกที่ร่วมซ้อมรบกับกองทัพจีน PLA ในการฝึกร่วมทุกหน่วยเหล่าของกองทัพ
ขณะที่ เซาต์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า การเสด็จพระราชดำเนินเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลไทยของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ประกาศอย่างกล้าหาญ ไม่สนใจภาษีทรัมป์ ลั่น Do it My Way เตรียมหาตลาดใหม่ ไม่สนตลาดสหรัฐฯ พยายามที่จะทำให้ปักกิ่ง มีความวิตกน้อยลงถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนในไทย หลังแก๊งค้ามนุษย์ข้ามพรมแดน และเครือข่ายโกงข้ามชาติระบาดหนักทั้งในพม่า และกัมพูชา
โดยในรอบ 10 เดือนของปี 2025 พบว่ามีตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าไทยลดลงไปเกือบ 34% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า อ้างอิงจากกระทรวงการท่องเที่ยวไทย และในวันพฤหัสบดี(13 พ.ย.) ปักกิ่ง ยังแสดงความวิตกต่อสถานการณ์ความขัดแย้งพรมแดนไทย-กัมพูชา ที่มีรายงานการเสียชีวิตเกิดขึ้น โดยปักกิ่งตั้งความหวังว่า ทั้ง 2 ฝ่าย จะใช้ความอดทนอดกลั้นและความเป็นเพื่อนเพื่อประสานหาทางออกที่สามารถยอมรับได้สำหรับทั้งกรุงเทพฯ-พนมเปญ
กระทรวงต่างประเทศจีน แถลงว่า ปักกิ่งจะยังคงเล่นบทบาทสร้างสรรค์ในการลดความตรึงเครียดของสถานการณ์ความขัดแย้งนี้
ขณะที่ความสัมพันธ์อีกด้านหนึ่ง ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ในช่วงช่วงเวลาเดียวกัน มีการแถลงจาก นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ไทยได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าสหรัฐว่า สหรัฐจะระงับการเจรจาความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Trade Framework) ชั่วคราว โดยจะกลับมาเจรจาได้เมื่อไทยยืนยันว่าจะปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ที่ได้ลงนามร่วมกัน ซึ่งไทยได้แสดงความผิดหวังต่อท่าทีดังกล่าว และย้ำว่า ประเด็นความมั่นคงไทย–กัมพูชา เป็นคนละเรื่องกับการค้าไทย–สหรัฐ ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ย้ำเองในการสนทนาเมื่อคืนว่า ไม่ต้องการแทรกแซงกระบวนการแก้ปัญหาระหว่างไทย–กัมพูชา
“ขอย้ำว่า สำหรับประเทศไทย ประเด็นการค้าระหว่างประเทศ และมาตรการทางภาษีของประเทศที่ 3 เป็นเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะมีการพิจารณาโดยรอบคอบนะครับ ในกรอบการความร่วมมือทางการค้า และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศคู่เจรจาเป็นสำคัญ
แม้ว่าทางรัฐบาลไทยจะแถลงย้ำว่าการระงับการเจรจาความตกลงการค้าต่างตอบแทนดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการโทรศัพท์หารือกันระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และหลังจากนั้นยังแจ้งให้ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนได้รับทราบด้วย
โดยระหว่างการหารือดังกล่าว นายอนุทิน ย้ำว่า ผู้นำสหรัฐ ได้รับฟังอย่างเข้าใจ และย้ำว่าสหรัฐและมาเลเซียพร้อมช่วยสนับสนุนให้ทั้งสองประเทศเดินหน้าสู่สันติภาพ โดยไม่ประสงค์แทรกแซงกระบวนการทวิภาคีของไทย–กัมพูชา ขณะที่นายกฯ ไทยยืนยันว่าไทยมุ่งสู่สันติภาพ แต่จำเป็นต้องสงวนสิทธิในการปกป้องอธิปไตย
นายกรัฐมนตรี อ้างว่าผู้นำมาเลเซียแสดงความเข้าใจ และยืนยันจะช่วยผลักดันการเดินหน้ากระบวนการสันติภาพโดยคำนึงถึงข้อเสนอของไทย โดยไทยย้ำชัดว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดคือหัวใจสำคัญของปฏิญญาร่วม ซึ่งสหรัฐและมาเลเซียรับทราบและเห็นตรงกัน แน่นอนว่า หากเปรียบเทียบท่าทีและความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่าย ทั้งจีน และสหรัฐอเมริกา ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะฝ่ายจีนที่แสดงบทบาทที่ต้องการแสดงให้ไทยเห็นว่า เป็น “พันธมิตรที่พึ่งพาได้” และย้ำให้ความสำคัญกับไทยเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” อีกทั้งไทยกับจีนไม่มีความขัดแย้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่มีปัญหาในเรื่องความขัดแย้งด้านอาณาเขต ซึ่งต่างกับหลายประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะเดียวกันไทยยังมีที่ตั้งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคอีกด้วย
ขณะที่ เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการกลับเข้ามามีอิทธิพลอีกครั้งในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะเมื่อ “เจาะ” เข้าทางไทยได้ยาก ก็ต้องหาทางเข้ามาทางกัมพูชา ที่กำลังอยู่ในช่วงที่กำลังอยู่ในภาวะยากลำบาก ในภาวะ“โลกกำลังล้อมกรอบ” จากปัญหาสแกมเมอร์ ปัญหาเศรษฐกิจ ที่กำลังสั่นคลอนสถานะอำนาจของ “สองพ่อลูก” ทั้ง ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต
หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว ภาพที่ปรากฏในเวลานี้ เหมือนกับว่า ไทยกำลังอยู่ในภาวะที่ต้องตัดสินใจว่าต้องดำรงอยู่ในสถานะแบบไหน ซึ่งการระงับการเจรจาการค้าชั่วคราวในช่วงเวลาสำคัญนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะเป็นการส่งสัญญาณบีบไทยบางอย่าง ว่าจะต้องโน้มเอียงไปทางไหนกันแน่ ระหว่างจีนและสหรัฐ ขณะที่สหรัฐก็ต้องการเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น และให้จับตาความสัมพันธ์ สหรัฐกับกัมพูชา เป้าหมายเพื่อลดอิทธิพลของจีน !!
ที่มา https://mgronline.com/politics/detail/9680000109527