ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้า กระทบส่งออกไทย

ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้า กระทบส่งออกไทย เซมิคอนดักเตอร์-อิเล็กทรอนิกส์ เสี่ยงสูงสุด
8-3-2025
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาประกาศแผนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า 7 ประเภทหลัก ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ยา ไม้แปรรูป และทองแดง กับประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตภายในสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมประกาศมาตรการ Reciprocal Tariff หรือภาษีต่างตอบแทนที่จะทยอยประกาศออกมาในระยะต่อไป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่า การที่สหรัฐฯ เลือกขึ้นภาษีนำเข้ากับ 7 ประเภทสินค้าดังกล่าวก่อนสินค้าอื่นๆ มีเหตุผลสำคัญ 3 ประการ คือ (1) สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้ากลุ่มนี้ในมูลค่าสูงเป็นส่วนใหญ่ (2) อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่ำกว่าประเทศคู่ค้า และ (3) สหรัฐฯ ต้องการสนับสนุนให้เกิดการผลิตในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เป็นยุทธศาสตร์เป้าหมายและมีห่วงโซ่อุปทานที่สามารถต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด สหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปเพิ่ม 10% จากจีนเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ และเก็บเพิ่มอีก 10% ในวันที่ 4 มีนาคม รวมถึงจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไป 25% กับเม็กซิโกและแคนาดา (ยกเว้นกลุ่มพลังงานจากแคนาดาที่จะขึ้น 10%) ในวันที่ 4 มีนาคม หลังเลื่อนมา 1 เดือน นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ในวันที่ 12 มีนาคม และเตรียมขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ในวันที่ 2 เมษายน พร้อมระบุถึงเซมิคอนดักเตอร์ ยา ไม้แปรรูป และทองแดง ซึ่งยังอยู่ระหว่างรอการยืนยัน
สำหรับไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะตลาดส่งออกสำหรับ 7 ประเภทสินค้าดังกล่าวนับว่าไม่น้อย โดยเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 1 ใน 5 หรือประมาณ 21% ของการส่งออกไปตลาดโลก น้อยกว่าเวียดนาม (25%) แต่มากกว่ามาเลเซีย (15%) และอินโดนีเซีย (9%)
ในบรรดา 7 ประเภทสินค้านี้ กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งออกจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากที่สุด โดยมีสัดส่วนสูงถึง 34% ของการส่งออกไปตลาดโลก รองลงมาคือ เหล็กและผลิตภัณฑ์ (18%) และอะลูมิเนียม (15%)
ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คือ การเร่งนำเข้าสินค้าก่อนอัตราภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ (Front-loading) ราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามภาษี ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ และเป็นปัจจัยรั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงการที่ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานที่ใช้สินค้าเหล่านี้เป็นวัตถุดิบอาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบอื่นทดแทน
ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยนับว่ามีพอสมควร เนื่องจากมูลค่าการส่งออก 7 ประเภทสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ รวมอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 40% ของการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ และคิดเป็น 7.4% ของมูลค่าการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปตลาดโลกในปี 2567
กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานมากที่สุด เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในระยะหลังการลงทุนในไทยส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนจีน ทำให้มีความเสี่ยงที่สินค้าส่งออกจากไทยอาจถูกกีดกันมากขึ้นในอนาคต สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำต่างๆ
สำหรับอีก 6 ประเภทสินค้า คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากความต้องการนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ลดลง แต่อาจจำกัดกว่าเนื่องจากตลาดส่งออกมีการกระจายตัว ซึ่งพึ่งพาจีนและอาเซียนด้วย จึงช่วยบรรเทาผลกระทบทางตรงได้บางส่วน นอกจากนี้ บางประเภทสินค้าอาจได้รับอานิสงส์จากส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าใหม่เทียบกับเดิมที่น้อยกว่าคู่ค้าอื่น เช่น อะลูมิเนียมที่เดิมไทยถูกเก็บภาษี 10% อยู่แล้ว หากทุกประเทศถูกเก็บภาษี 25% เท่ากัน อะลูมิเนียมจากไทยจะมีส่วนต่างของการปรับขึ้นที่น้อยกว่าประเทศคู่ค้าอื่น
นอกจากผลกระทบโดยตรงแล้ว ยังมีผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว และการที่ประเทศคู่ค้าต่างๆ ต้องหาตลาดส่งออกทดแทนสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในตลาดไทยและตลาดส่งออกอื่นๆ
ทั้งนี้ แม้ว่ายังมีความไม่แน่นอนจากแผนภาษีของทรัมป์ที่ยังรอความชัดเจน แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเบื้องต้นว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยราว 0.5% ซึ่งได้คำนึงถึงผลกระทบนี้แล้วระดับหนึ่งในการประมาณการเศรษฐกิจปี 2568
---
IMCT NEWS