16/8/2024
ในขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ต้องการสกัดอิทธิพลของจีนผ่านสงครามการค้าเพื่อที่ให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหากชนะเลือกตั้งอีกครั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมทางทหารของ (US Military Industrial Complex)เดินหน้าเตรียมความพร้อมในการทำสงครามกับจีน โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องอธิปไตยของไต้หวัน
พล.อ. ชาร์ลส์ คิว. บราวน์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของกองทัพสหรัฐ กล่าวในเดือนกรกฎาคมทีผ่านมาว่า สหรัฐฯมีกองทัพที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และจะสามารถเอาชนะจีนได้หากเกิดสงครามที่เกี่ยวพันกับไต้หวัน โดยเสริมว่าความขัดแย้งกับจีนไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กองทัพสหรัฐฯ จะต้องเตรียมพร้อมหากสงครามปะทุขึ้น
เมื่อถูกถามว่าสหรัฐฯ สามารถเอาชนะจีนในความขัดแย้งได้หรือไม่ พล.อ. บราวน์กล่าวว่า "ใช่ ผมมั่นใจในกำลังของเราอย่างเต็มที่"
เขากล่าวบนเวที Aspen Security Forumว่า “เราเป็นกองกำลังต่อสู้ที่อันตรายที่สุดและเป็นที่นับถือมากที่สุดในโลก ทั้งประเทศจะต้องร่วมไปกับเราหากเรามีความขัดแย้งกับจีน และผมมั่นใจว่า หากเราถูกท้าทาย เราจะไปที่นั่น”
คำพูดของพล.อ. บราวน์สะท้อนให้เห็นนโยบายของฝ่ายความมั่นคง หรือฝ่ายทหารของสหรัฐอย่างชัดเจนว่าจีนเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดที่สหรัฐอาจเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำสงคราม เพื่อที่รักษาความเป็นมหาอำนาจโลกฝ่ายเดียวของสหรัฐต่อไป
นักการทูตของประเทศที่เป็นสมาชิกของ BRICS กล่าวกับ IMCT News ว่า แม้ว่าความขัดแย้งของโลกจะรุนแรง และมีความน่ากังวลใจเพิ่มขึ้นในสงครามยูเครนในยุโรปตะวันออก และสงครามอิสราเอลในตะวันออกกลาง แต่จุดที่น่ากังวลใจมากที่สุดคือความเป็นไปได้ของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนในทะเลจีนใต้
การจำลองระบบคลังสมองที่ศึกษาความขัดแย้งระหว่างกองกำลังสหรัฐฯ และจีนเหนือไต้หวัน พบว่าสหรัฐฯจะสามารถเอาชนะจีนในการสู้รบแต่ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายอันหนักหน่วง The Center for Strategic and International Studies คาดการณ์ว่ากองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตรสูญเสียทหารหลายหมื่นนาย เรือหลายสิบลำ และเครื่องบินหลายร้อยลำในสงครามกับจีน
พล.อ. บราวน์ถูกถามเกี่ยวกับรายงานของรัฐบาลญี่ปุ่นที่วิเคราะห์การฝึกซ้อมทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นทั่วไต้หวัน ซึ่งสรุปว่ากองกำลังของปักกิ่งสามารถยกพลขึ้นบกเข้าโจมตีไต้หวันด้วยการโจมตีอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากมีการปิดล้อม รายงานยังระบุด้วยว่ากองทัพปลดแอกประชาชนจีนจะดำเนินการปฏิบัติการเพื่อยึดการควบคุมเกาะที่ปกครองตนเองแห่งนี้ ก่อนที่กองกำลังทหารสหรัฐฯ และพันธมิตรจะเข้ามาช่วยเหลือไทเป
พล.อ. บราวน์ กล่าวว่าเขาเห็นพ้องว่าสถานะการทำสงครามในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เขากล่าวว่าการทำสงครามกับจีนจะไม่เหมือนกับความขัดแย้งใดๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาหรือมากกว่านั้น
“สิ่งเหล่านี้จะเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่คล้ายกับที่เราเห็นในสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้นเราจึงต้องพร้อมรับมือ” เขากล่าว “ประการที่สอง จีนรู้ว่าข้อได้เปรียบของเราอยู่ที่ไหน และความสามารถในการรบที่เราสามารถทำได้ ความรู้สึกของผมคือพวกเขาต้องการดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้กระทำได้ก่อนที่เราจะนกองทัพไปที่นั่น”
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ดังกล่าว พล.อ. บราวน์กล่าวว่าเขากำลังเร่งความพยายามก่อนหน้านี้ในการขนส่งทางการทหารของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้ พร้อมกับสะสมอาวุธ กระสุน เสบียง และการสนับสนุนทางทหารอื่น ๆ ก่อนที่ความขัดแย้งจะปะทุขึ้น
“ยิ่งเราสามารถแสดงให้เห็นว่าเราสามารถไปถึงจุดนั้นได้เร็วเท่าใด [ก็ยิ่ง] การป้องปรามมากขึ้นเท่านั้น” เขากล่าว
ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่าสหรัฐฯ จะเข้าแทรกแซงทางทหารหากจีนใช้กำลังทหารเพื่อพยายามยึดครองไต้หวัน ในขณะที่ปักกิ่งขู่ว่า จะส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมเกาะไต้หวันถ้าหากไต้หวันประกาศเอกราช
เมื่อถามถึงนักวิเคราะห์ทางทหารที่กล่าวว่าไต้หวันควรมุ่งเน้นไปที่การจัดซื้ออาวุธป้องกันเชิงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากสหรัฐอเมริกา รวมทั้งความคิดเห็นของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ว่าไทเปควรเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมากขึ้น พล.อ. บราวน์กล่าวว่าเพนตากอนกำลังทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ไต้หวันในเรื่อง หัวข้อเหล่านั้น
การใช้อาวุธโดรนและความสามารถด้านสงครามไซเบอร์เป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่าลักษณะของสงครามกำลังพัฒนาไปในทิศทางใด เขากล่าวว่านั่นหมายความว่าความสามารถทางทหาร "ระดับสูง" อาจไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดในการทำสงคราม ในทางกลับกัน จำเป็นต้องมีการผสมผสานระหว่างกำลังทหารแบบดั้งเดิมและความสามารถในการทำสงครามแบบอสมมาตรที่มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยถึงความเป็นไปได้ของสงครามนิวเคลียร์ และผลกระทบที่ตามมาหากสหรัฐรบกับจีนโดยตรง
ในบทความ “The US is Preparing for an Unwinnable War Against China,” Megan Russell เขียนว่า ในสงครามไม่มีผู้ชนะ และในสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน คนทั้งโลกจะพ่ายแพ้
“นั่นไม่เพียงแต่คำนึงถึงการสูญเสียชีวิตจำนวนมากที่จะเกิดขึ้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบที่สะท้อนกลับของสงครามที่นำไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจ ทำลายสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การพลัดพรากจากที่อยู่อาศัยอย่างกว้างขวาง และความโหดร้ายด้านสิทธิมนุษยชน
“การใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นไปได้มักถูกมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้น ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจบานปลายไปสู่สงครามนิวเคลียร์ได้อย่างง่ายดาย และฤดูหนาวนิวเคลียร์ก็อยู่ไม่ไกลออกไปมากนัก” Megan Russell เขียน
IMCT News