11/4/2024
เมื่อมองดูภาพรวม จะเห็นได้ว่าราคาทองคำกำลังมีการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติตั้งแต่ปลายปี 2023ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงตอนนี้ ที่นักลงทุนได้เห็นราคาทองทุบสถิติใหม่แบบรัวๆถี่ๆ
จากกราฟิกจะเห็นว่าทองคำทำสถิติสูงสุดที่ราคา$2,330ต่อออนซ์ในวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา โดยใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้นในการทุบสถิติเดิมท่ามกลางความกังวลใจของสงครามในตะวันออกกลางที่จะขยายวงหลังจากที่อิสราเอลถล่มสถานกงสุลอิหร่านในซีเรียในวันที่1เมษายนมีผลทำให้นายทหารอิหร่านเสียชีวิตไป7นาย
ก่อนหน้านั้นในวันที่ 2 เมษายน ทองคำใช้เวลา12วันเพื่อทำลายสถิติเดิม โดยมายืนที่ระดับ$2,299ต่อออนซ์
ย้อนไปเดือนมีนาคม ตลาดทองมีความคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากสถานการณ์ในทะเลแดงที่เดือด รวมทั้งท่าทีของนาโต้ที่ต้องการส่งทหารเข้าไปรบกับรัสเซียในยูเครน และมีการก่อการร้ายในรัสเซีย โดยในวันที่ 21 มีนาคม ทองคำทำนิวไฮที่$2,214ต่อออนซ์ โดยใช้เวลา11วันที่จะทำลายสถิติเดิม
ในวันที่10 มีนาคม ทองคำใช้เวลา7 วันเพื่อทุบสถิติเดิม โดยปิดราคาที่$2,182ต่อออนซ์
ส่วนในวันที่ 3มีนาคม ทองคำใช้เวลา2เดือน กับ5วันเพื่อทำนิวไฮที่ราคา$2,114ต่อออนซ์ เมื่อเทียบกับนิวไฮ$2,007ต่อออนซ์ที่ทำก่อนหน้านั้นในวันที่ 26 ธันวาคมปี 2023
ปรากฎการณ์อย่างนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเงินเท่าที่พอจะจำความได้ แต่มันสะท้อนแพนิคของนักลงทุน ความกลัวในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในระบบการเงินโลกที่ดอลลาร์อาจจะไม่สามารถรักษาการเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้อีกต่อไป
ในปี 2022 ซึ่งเป็นปีที่เกิดสงครามยูเครน และสหรัฐกับอียูยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียไปกว่า$300,000ล้าน ธนาคารกลางของประเทศต่างๆเริ่มออกจากทรัพย์สินดอลลาร์ และหันไปซื้อทองอย่างมีนัยสำคัญ โดยซื้อสุทธิ1,136ตัน หรือสูงสุดในประวัติศาสตร์ของการซื้อทองของธนาคารกลางในปีเดียวตั้งแต่ปี 1950
ในปี 2023 ธนาคารกลางยังคงเดินหน้าซื้อทองคำอยู่ แม้จะลดลงเหลือสุทธิ1,032.4ตัน แต่ราคาทองคำยังไม่ได้ขยับอะไรมาก โดยเฉลี่ยแล้วยืนอยู่ที่ระดับ$2,000กว่าเหรียญต่อออนซ์
มาปี2024นี้ เริ่มที่จะชัดเจนว่ามีการระเบิดออกมาของราคาทองคำ จากความล้มเหลวของตะวันตกในการควบคุมราคาทองคำต่อไป
ตลาดทองคำกระดาษที่เป็นเครื่องมือสำคัญของตะวันตกในการทุบราคาทองคำให้ต่ำกว่าความเป็นจริงมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีเพื่อปกป้องความเชื่อมั่นในดอลลาร์เริ่มไม่มีประสิทธิผล รวมทั้งผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไม่น่าดึงดูดใจเหมือนอย่างเดิม เพราะว่ารัฐบาลสหรัฐติดอาวุธดอลลาร์ และภาระหนี้ที่สูงท่วมภูเขาของรัฐบาลสหรัฐและเงินเฟ้อที่จะตามมาทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ และที่สำคัญ ยามเกิดสงครามความขัดแย้งที่รุนแรง นักลงทุนจะวิ่งเข้าหาsafe haven คือทองคำนั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่พลิกโฉมตลาดทองคำ ทำให้ราคาทองคำทุบสถิติอย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน
ย้อนกลับไปปี 2011 ถึงปี 2020 ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนาน8ปี กับ10เดือน ที่ราคาทองคำอยู่ในสภาพชะงักงัน นักลงทุนติดดอยกันจนเข็ดหลาบจากการควบคุมตลาดทองคำอย่างอยู่หมัดของตะวันตก ในขณะที่ผลตอบแทนในการลงทุนในตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตรน่าดึงดูดใจกว่าอย่างเทียบไม่ได้
การลงทุนในทองคำถูกด้อยค่า ให้ถือว่าเป็นทางลงทุนทางเลือก (alternative investment) ถ้าใครอยากจะลงทุนจริงไม่ควรถือเกิน2%-3%ของพอร์ต แม้ต่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศยังแนะนำธนาคารกลางของประเทศต่างๆให้ถือทองคำไม่เกิน5%ของพอร์ต ทั้งๆที่ทองคำเป็นเงินที่แท้จริง ส่วนดอลลาร์เป็นเครดิตที่รัฐบาลอาจผิดนัดชำระหนี้ได้ และมีความเสี่ยงของการเสื่อมค่าจากการเพิ่มปริมาณเงิน
มาวันนี้ ภาพของการลงทุนในทองคำเปลี่ยนไปจากการที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน และกลุ่มBRICSได้หันหลังให้กับทรัพย์สินดอลลาร์ แนวโน้มของการเสื่อมค่าของดอลลาร์จากหนี้ที่ไม่สามารถชำระคืนได้ และความง่อนแง่นของระบบการเงินที่มีหนี้เป็นรากฐาน รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรง ทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำเป็นsafe havenเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ และเพื่อปกป้องความมั่งคั่งไม่ให้สูญไปกับระบบเงินกระดาษ หรือความเสี่ยงของสงคราม
By Thanong Khanthong, Editor
IMCT News