ศก.ไทย ปี 67 เสี่ยงถดถอย! GDP โตแค่ 2.6% ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน รายได้ครัวเรือนไม่ฟื้น ฉุดส่งออก-ลงทุน-ใช้จ่ายรัฐ-สินเชื่อชะลอ-ศก.โลก
20/6/2024
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดประมาณการ GDP ไทยปีนี้ มาโตแค่ 2.6% จากแรงกดดันรอบด้าน ทั้งภาคส่งออก การลงทุน ใช้จ่ายภาครัฐ และสินเชื่อที่ยังอ่อนแอตามรายได้ครัวเรือน นอกจากนี้ยังเตือนให้ระวังเรื่องการกีดกันอุตสาหกรรมสีเขียวของจีน ที่อาจทำให้บริษัทย้ายฐานผลิตมาอาเซียน
และความเสี่ยงต่อกลยุทธ์ China+1 ของไทย หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งอีกสมัย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 มาเติบโต 2.6% จากเดิม 2.8% ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้านทั้งการส่งออก การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐ ที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด รวมถึงการชะลอตัวของสินเชื่อตามรายได้ครัวเรือนที่ยังอ่อนแอ แม้เศรษฐกิจในครึ่งหลังของปีจะเร่งตัวขึ้นจากฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบจากการกีดกันอุตสาหกรรมสีเขียวของจีน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี โซลาร์เซลล์ โดยสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งอาจนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตมายังอาเซียนและอเมริกาใต้ แต่ในขณะเดียวกัน หากทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้อีกสมัย ก็อาจเสี่ยงต่อกลยุทธ์ China+1 เพื่อเลี่ยงภาษีการค้า
สำหรับประเด็นกดดันที่มีผลต่ออุตสาหกรรมไทยระยะถัดไป ได้แก่ ความไม่แน่นอนของการเบิกจ่ายภาครัฐ ที่อาจระทบภาคก่อสร้าง การไหลเข้าของสินค้าราคาถูกจากจีนจากภาวะกำลังการผลิตล้นเกิน โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เหล็ก และ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งค่าแรงงาน ค่าขนส่ง จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และการเข้าสู่ลานีญา ซึ่งกระทบต่อ SMEs ใช้แรงงานสูง
ในส่วนของเศรษฐกิจโลก ศูนย์วิจัยฯ คาดว่าจะมีทิศทางทรงตัว โดยสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอจากเหตุการณ์ Soft landing ส่วนยูโรโซนคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างเชื่องช้า ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและ ECB
ขณะที่จีน แม้จะมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าคาด ตามปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็ยังเผชิญความเสี่ยงสูงจากการใช้จ่ายภายในประเทศและความตึงเครียดทางการค้าที่อาจปะทุขึ้นอีกระลอก
จากกรอบเงื่อนไขข้างต้น คาดว่าการส่งออกไทยปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 1.5% ต่ำกว่าที่เคยมองไว้ที่ 2% เนื่องจากทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคส่งออกและอุปสงค์จากต่างประเทศที่ฟื้นตัวล่าช้า ขณะที่ภาคการผลิต ซึ่งหดตัวติดต่อกันมา 18 เดือน ก็น่าจะฟื้นตัวได้ค่อนข้างจำกัด ท่ามกลางแรงกดดันจากราคาสินค้านำเข้าและความเสี่ยงด้าน Supply Chain จากภูมิรัฐศาสตร์ สภาพอากาศ และกฎระเบียบใหม่ๆ
ส่วนการเบิกจ่ายภาครัฐปีนี้ แม้เริ่มเห็นทิศทางการเร่งตัวหลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี แต่โดยรวมทั้งปี คาดว่าจะยังต่ำกว่าปีก่อนและยังไม่มากพอจะชดเชยการหดตัวในไตรมาสแรกได้ ในขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบ 1-3% ในช่วงครึ่งหลัง โดยทั้งปีอาจเฉลี่ยเพียง 0.8%
ขณะเดียวกัน รายได้ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยกเว้นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและการแพทย์ ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง ท่ามกลางแรงกดดันจากกลุ่มปัจจัยที่ยากจะควบคุม อย่างความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ต้นทุนแรงงานและพลังงานที่เพิ่มขึ้น ภูมิรัฐศาสตร์โลก ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการเข้าสู่สังคมสูงวัย
ศูนย์วิจัยฯ จึงปรับลดประมาณการสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ปีนี้มาขยายตัวเพียง 2.0-3.2% จากเดิมที่ 2.5-3.5% ตามการฟื้นตัวที่เปราะบางของทั้งเศรษฐกิจและรายได้ครัวเรือน โดยคาดว่าสินเชื่อ SMEs รายย่อย จะได้รับผลกระทบมากกว่า ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ แม้จะทยอยฟื้นตัวได้ แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับระดับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
สรุปภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจและสินเชื่อไทยปีนี้ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับที่เคยคาดไว้ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รอบด้าน ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง เสถียรภาพเศรษฐกิจภายใน ตลอดจนผลกระทบจากภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะประเด็นที่น่าติดตามได้แก่ การกีดกันอุตสาหกรรม Cleantech ของจีน ที่จะนำไปสู่การย้ายฐานการผลิต รวมถึงความเสี่ยงต่อกลยุทธ์ China+1 ในกรณีที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
IMCT NEWS
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/Economic-Outlook-Press-Q2-2567-20-06-2024.aspx?utm_source=exbrief20240620&utm_medium=link&utm_campaign=fb&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR3UEXbNVmP0npYcJn8l7jUNte8DpI0W0AX4jkLh5Rf1LGvx-Ckaeepjz0o_aem_ZmFrZWR1bW15MTZieXRlcw