Thailand
ขอบคุณภาพจาก RT
30/6/2024
ชาวฝรั่งเศสออกมาใช้สิทธิ์ในวันนี้ ( 30 มิ.ย. 2024 ) เป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดยกแรก ซึ่งอาจเห็นฝรั่งเศสได้รัฐบาลขวาจัดขึ้นมาปกครองประเทศเป็นครั้งแรกนับจากนาซีเข้ายึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ จะตามมาด้วยการเลือกตั้งต่อในยกสอง ซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 7 กรกฎาคม เป็นการชิงชัยกันระหว่างสามกลุ่มการเมืองหลักๆ คือ พรรคขวาจัด National Rally , กลุ่มพันธมิตรกลางของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง และกลุ่มแนวร่วม New Popular Front ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มซ้ายกลาง , กรีนส์ และซ้ายจัด
โพลสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งทุกโพล บ่งชี้ว่า พรรคขวาจัด National Rally มาแรง และคาดว่า จะคว้าชัยการเลือกตั้งไปได้ด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ หรืออย่างน้อยก็ได้มา 289 จาก 577 ที่นั่งในสภา
สมัชชาแห่งชาติ หรือ สภาล่างในฝรั่งเศส มีความสำคัญกว่าวุฒิสภาซึ่งถูกครอบครองโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยม เพราะมีสิทธิ์ขาดขั้นสุดท้ายในกระบวนการออกกฎหมาย
เอ็มมานูเอล มาครง มีวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปจนถึงปี 2027 และเขาบอกว่า จะไม่ลงจากตำแหน่งก่อนจะหมดวาระอย่างเด็ดขาด ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งครั้งนี้ มีกลุ่มการเมืองอื่นคว้าเสียงส่วนใหญ่ในสภา มาครงก็จะต้องถูกบีบให้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนของกลุ่มการเมืองนั้น และรัฐบาลฝรั่งเศสชุดใหม่ก็อาจจะออกนโยบายที่ต่างออกไปจากแผนการของประธานาธิบดีเลยก็ได้
ในยุคใหม่ของฝรั่งเศส เคยเจอเหตุการณ์ทางการเมืองในรูปแบบนี้สามครั้ง ครั้งสุดท้ายเกิดในสมัยประธานาธิบดี ฌาคส์ ชีรัก จากกลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งต้องทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรี ลียอแนล ฌ็อสแป็ง จากกลุ่มสังคมนิยม ตั้งแต่ปี 1997 – 2002
นายกรัฐมนตรีคือผู้ที่ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสภา เป็นหัวหน้ารัฐบาล และนำเสนอร่างกฎหมาย ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงสำคัญกับภารกิจในประเทศ และถ้าได้คนเป็นนายกฯ จากกลุ่มการเมืองคนละฝ่าย ทางฟากของประธานาธิบดี ก็จะมีบทบาทน้อยลงในประเทศทันที แต่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจบางประการในนโยบายต่างประเทศ กิจการของยุโรป และการทหาร เพราะประธานาธิบดีจะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับการเจรจาและการให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ยังถือเป็นจอมทัพของประเทศ และเป็นผู้ที่ถือรหัสนิวเคลียร์เอาไว้ด้วย เป็นคำสั่งที่จะปล่อยนิวเคลียร์โจมตีศัตรู
มีความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดี อาจกัน หรือระงับโครงการของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว เพราะประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะลงนาม หรือ ไม่ลงนามกฎหมายที่รัฐบาลเสนอมา แต่นายกฯ ก็มีอำนาจในการยื่นข้อกฎหมายนั้น กลับไปให้สมัชชาแห่งชาติลงมติ
เมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสได้ตัวนายกฯ กับประธานาธิบดี มาจากกลุ่มการเมืองคนละฝ่ายกันนั้น นโยบายการทหารและการต่างประเทศ จะเป็นอันรู้กันว่า สงวนไว้ให้เป็นขอบข่ายของประธานาธิบดี แต่ตามปกติ ประธานาธิบดี ก็ต้องหาทางรอมชอมกับนายกฯ ให้ได้ เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศ ในสายตาประชาคมโลก
แต่ตอนนี้ ทั้งพรรคขวาจัด และพันธมิตรฝ่ายซ้าย กลับมีมุมมองทางการทหารและต่างประเทศ ที่ต่างสุดขั้วจากแนวคิดของมาครง และมีแนวโน้มว่า การบริหารประเทศจะเกิดความตึงเครียดแน่นอน ถ้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในนี้ ได้ขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล
ตามรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ในขณะที่ประธานาธิบดีมีฐานะเป็นจอมทัพ แต่ผู้ที่จัดการกองกำลังติดอาวุธคือนายกฯ
จอร์แดน บาร์เดลล่า ประธานพรรค National Rally จากกลุ่มขวาจัด ระบุว่า หากเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาจะต่อต้านการส่งทหารฝรั่งเศสไปยูเครน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า มาครงจะไม่อยู่เฉยแน่นอน บาร์เดลล่า บอกว่า เขาจะต่อต้านที่ฝรั่งเศสส่งมอบขีปนาวุธพิสัยไกลและอาวุธอื่นๆ ไปให้ยูเครนใช้ในการยิงโจมตีเข้าไปในรัสเซีย
และถ้ากลุ่มพันธมิตรฝ่ายซ้ายคว้าชัยการเลือกตั้ง ก็จะกระทบกับความพยายามทางการทูตของฝรั่งเศสต่อตะวันออกกลางเช่นกัน เพราะกลุ่มนี้ มีแผนที่จะยอมรับการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ในทันที และจะไม่ให้รัฐบาลฝรั่งเศสไปสนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งก่อนหน้านี้ มาครงก็บอกว่า การยอมรับรัฐปาเลสไตน์ควรเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม สงครามอิสราเอลกับฮามาสในเวลานี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาเห็นชอบกับรัฐปาเลสไตน์
แต่ถ้าการเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่มีฝ่ายไหนได้เสียงส่วนใหญ่ไปครอง ประธานาธิบดี ก็สามารถเสนอชื่อนายกฯ จากกลุ่มที่ได้ที่นั่งในสมัชชาแห่งชาติมากที่สุด ประธานาธิบดียังสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างกลุ่มฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา แต่พรรคขวาจัด National Rally บอกมาแล้วว่า ไม่เอาแบบนั้น เพราะจะทำให้รัฐบาลของเขาถูกคว่ำลงได้ ผ่านกระบวนการโหวตไม่ไว้วางใจในสภา ถ้ามีพรรคอื่นมาเข้าร่วมด้วย
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ยังมีอีกทางเลือกก็คือ การแต่งตั้ง รัฐบาลจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ที่ไม่เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองใดใดเลย แต่ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากเสียงส่วนใหญ่ของสมัชชาแห่งชาติด้วย และรัฐบาลในแบบนี้ ก็ทำได้แค่จัดการภารกิจไปแบบวันต่อวัน แทนที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปหลักๆ ของประเทศ
ถ้าฝรั่งเศสผ่าทางตันในครั้งนี้ไม่ได้ ความวุ่นวายทางการเมือง จะก่อให้เกิดวิกฤติการเงินขึ้นทันที จากปัจจุบัน ที่ดัชนี CAC40 ของฝรั่งเศส ก็มุ่งหน้าไปสู่เดือนที่ย่ำแย่ที่สุดอยู่แล้ว นับจากเดือนพฤษภาคม 2023 เพราะร่วงไปถึง 6% นับจากการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ถูกประกาศเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน
พันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสมีราคาร่วงลงเมื่อวันศุกร์ ก่อนจะมีการลงคะแนนเลือกตั้งรอบแรกในวันนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นเป็น 3.328% สูงสุดนับจากพันธบัตรราคาร่วงเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่มีการประกาศเลือกตั้งใหม่
เรื่องที่เกิดขึ้น ยังดันให้ส่วนต่างระหว่างต้นทุนการกู้ยืมของฝรั่งเศสและเยอรมนี ถ่างกว้างออกมากที่สุดในรอบกว่าสิบปี ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการบ่งชี้ความเสี่ยงทางการเมืองของฝรั่งเศส
ส่วนนโยบายของทั้งพรรคขวาจัดและซ้ายจัด ที่มุ่งเน้นให้ลดอายุเกษียณลงอีก และลดภาษีรายได้ลง ก็ล้วนแต่จะทำให้เกิดวิกฤติการเงินขึ้นมาทันที ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ ความวุ่นวายทางการเมืองที่รออยู่ข้างหน้า อาจทำให้ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลง 5% ถึง 20%
By IMCT News
อ้างอิงจาก https://apnews.com/article/france-election-far-right-macron-667bd7be93bedad2c0fe24f55d723b3f
https://www.cnbc.com/2024/06/28/french-election-le-pens-far-right-national-rally-election-gains.html
© Copyright 2020, All Rights Reserved