ขอบคุณภาพจาก Tribune Online
3/11/2024
การยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการของอินโดนีเซียเพื่อเข้าร่วม BRICS ซึ่งได้รับการยืนยันเมื่อไม่นานนี้โดยรอย โซเอมีรัต โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย เน้นย้ำถึงความน่าดึงดูดใจที่เพิ่มขึ้นของ BRICS ในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่
ในช่วง 15 ปีนับตั้งแต่การประชุมสุดยอดครั้งแรกที่เมืองเยคาเตรินเบิร์กของรัสเซีย BRICS ได้เอาชนะความแตกต่างภายในและความท้าทายภายนอกมากมายเพื่อมีบทบาทสำคัญในการค้า การพัฒนา การลงทุน และการเงินระดับโลก BRICS ได้กลายเป็นพลังสำคัญในการส่งเสริมธรรมาภิบาลระดับโลกที่ดี การปรับปรุงระเบียบโลก และการรวมประเทศในกลุ่มซีกโลกใต้เพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลกร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้ BRICS จึงมีความน่าดึงดูดใจอย่างมากในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียน ในขณะที่อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซียได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าร่วมกลุ่ม BRICS กัมพูชาและเมียนมาร์ได้แสดงความปรารถนาที่จะเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์ โดยเวียดนามและลาวแสดงความสนใจในระดับต่างๆ กันในการเข้าร่วมกลุ่ม ซึ่งอาเซียนจะได้รับประโยชน์จากการเป็นสมาชิก "BRICS Plus" หลายประการ ดังนี้
ประการแรก ปริมาณการค้าของของอาเซียนจะขยายตัว และสามารถเพิ่มการค้ากับประเทศในแอฟริกาและละตินอเมริกาได้โดยการเข้าร่วม BRICS ซึ่งตามรายงานขององค์การการค้าโลก ส่วนแบ่งของสมาชิก BRICS ในการค้าโลกเพิ่มขึ้นเป็น 21.6% และปริมาณการค้าภายในและภายนอก BRICS เพิ่มขึ้นเป็น 10.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2023 ทำให้อยู่อันดับสองของโลก รองจากสหภาพยุโรป (14.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ขณะเดียวกัน ปริมาณการค้าของ BRICS ยังสูงกว่าข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และแคนาดาด้วย (7.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
ประการที่สอง สมาชิกอาเซียนสามารถดึงดูดเงินทุนต่างชาติได้มากขึ้นหลังจากเข้าร่วม BRICS เช่น การกู้ยืมจากธนาคารพัฒนาใหม่ หรือ NDB ซึ่งประเทศสมาชิก BRICS เดิมก่อตั้งขึ้นในปี 2015 ขณะเดียวกัน สมาชิกอาเซียนยังสามารถส่งเสริมการปฏิรูประบบการเงินโลกและตอบสนองความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขาได้ โดยมีธนาคารพัฒนาแห่งชาติ (NDDB) เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งถูกครอบงำโดยชาติตะวันตก ซึ่งธนาคารจะช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถแข่งขันกับประเทศตะวันตกได้ แม้ว่าจะมีขนาดค่อนข้างเล็กก็ตาม
อีกด้านหนึ่ง จีนให้การสนับสนุน BRICS อย่างมาก เนื่องจากจีนถือว่าการรวมกลุ่มเป็นพลังสำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์ของโลก จีนยังได้จัดตั้งกองทุนการพัฒนาโลกและความร่วมมือใต้-ใต้มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และระบุว่า สถาบันการเงินของประเทศจีนจะจัดตั้งกองทุนพิเศษมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์สำหรับการดำเนินการตามแผนริเริ่มการพัฒนาโลก
นอกจากนี้ สมาชิก BRICS ใหม่บางประเทศก็ยังมีทุนมากมาย ซึ่งประเทศต่างๆ อย่างไทยก็สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้
ประการที่สาม สมาชิกอาเซียนสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมของตนได้เช่นกันโดยการเข้าร่วม BRICS แม้ว่าจีนจะมีห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ แต่ประเทศสมาชิก BRICS แต่ละประเทศก็มีข้อได้เปรียบด้านอุตสาหกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขณะที่ประเทศสมาชิก BRICS Plus บางประเทศที่มีทรัพยากรด้านพลังงาน แร่ธาตุ และเกษตรกรรมจำนวนมหาศาล ซึ่งสามารถให้ประโยชน์แก่สมาชิกอาเซียนที่ยื่นคำร้อง (หรือมีแนวโน้มที่จะยื่นคำร้อง) เพื่อเข้าร่วมกลุ่มได้
นอกจากนี้ BRICS ยังสามารถช่วยพัฒนาภาคส่วนดิจิทัล ตลอดจนอุตสาหกรรมการผลิตและการเกษตรในประเทศสมาชิกอาเซียนได้ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ประการที่สี่ สมาชิกอาเซียนสามารถได้รับประโยชน์จากการจัดตั้งกลไกความร่วมมือทางการเงินกับ BRICS ในความเป็นจริง BRICS มีข้อตกลงสำรองฉุกเฉินเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจหรือการเงินอยู่แล้ว
เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจทั้งสองประเทศยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สหรัฐฯ จึงใช้ระบบการชำระเงินการค้าโลก SWIFT ซึ่งเป็นสินค้าสาธารณะทางการเงินระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจเหนือตลาดในการกำหนดเป้าหมายประเทศอื่นๆ มากขึ้น ในความเป็นจริง การคว่ำบาตรทางอ้อมกำลังกลายเป็นเครื่องมือที่วอชิงตันนิยมใช้ในการดำเนินกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
ด้วยเหตุนี้ BRICS จึงได้จัดตั้งระบบการชำระเงินการค้าโลกทางเลือกสองระบบ ได้แก่ "BRICS Bridge" และ "BRICS Pay" เพื่อช่วยยุติการครอบงำทางการเงินของสหรัฐฯ ระบบใหม่ทั้งสองระบบจะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เพื่อให้สมาชิก BRICS ทำและรับชำระเงินในสกุลเงินของตนเองได้ ในขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนการทำธุรกรรม
ประการที่ห้า สมาชิกอาเซียนยังสามารถขยายอิทธิพลระดับโลกได้ด้วยการเข้าร่วม BRICS ตัวอย่างเช่น ไทยและมาเลเซียสามารถใช้ประโยชน์จากกลไกของ BRICS Plus เพื่อขยายเสียงของพวกเขาในฟอรัมระดับโลก รวมถึงแสวงหาความช่วยเหลือจากประเทศสมาชิก BRICS สองประเทศที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งก็คือจีนและรัสเซีย เพื่อเพิ่มอิทธิพลในระดับโลก
ประการที่หก สมาชิกอาเซียนสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์กับจีน รวมถึงดึงดูดเงินทุนจากจีนได้มากขึ้นด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของ BRICS จีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม BRICS เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนตั้งแต่ปี 2009 โดยมีปริมาณการค้าสองทางถึง 911.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023 สมาชิกอาเซียนยังสามารถกระชับความร่วมมือใต้-ใต้ในขณะที่มีส่วนสนับสนุนการปกครองระดับโลกได้ นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกที่จีนจัดให้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาของตนเองได้อย่างเต็มที่
และประการที่เจ็ด สมาชิกอาเซียนสามารถส่งเสริมการพัฒนาภูมิภาคโดยการเป็นสมาชิก BRICS โดยพวกเขายังสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของ BRICS เพื่อบรรเทาความยากจนภายในประเทศและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขา
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงชัดเจนว่าสมาชิกอาเซียนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้นด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของ BRICS แม้จะยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายบางอย่าง เช่น การแข่งขันภายใน และแรงกดดันอย่างรุนแรงจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรที่มองว่า BRICS เป็นคู่แข่งที่รุนแรง ซึ่งอาจกีดขวางสมาชิกอาเซียนบางส่วนในการเข้าร่วม BRICS ในที่สุด
IMCT News
ที่มา https://www.chinadaily.com.cn/a/202411/02/WS6725684da310f1265a1caff3.html