ขอบคุณภาพจาก RT
4/10/2024
ปัจจุบัน ดอลลาร์สหรัฐยังครองสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศที่ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองมากที่สุด แม้จะมีสัดส่วนค่อยๆ ลดลงก็ตาม โดยไตรมาสสองของปีนี้ ( 2024 ) ดอลลาร์สหรัฐครองสัดส่วนทุนสำรองทั่วโลกอยู่ที่ 58.2% ส่วนยูโรตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยสัดส่วนประมาณ 20% คงที่
แต่ที่น่าสนใจก็คือ สกุลเงินท้องถิ่นอื่นๆ ที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศหันมาถือครองคิดเป็นสัดส่วนมากขึ้นนับจากปี 2015 ถึงแม้จะตัดเงินหยวนออกไปแล้วก็ตาม แสดงว่า ไม่ใช่แค่เงินหยวนที่กำลังแข่งกับดอลลาร์สหรัฐ แต่สกุลเงินท้องถิ่นอื่นๆ ก็กำลังลงสนามด้วยเช่นกัน
ในหมวดสกุลเงินท้องถิ่นอื่นๆ ที่ว่านี้ ธนาคารกลางแต่ละประเทศหันมาถือครองมากขึ้นคิดเป็นสัดส่วน 4.2% ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ จาก 2.5% ในช่วงสิ้นปี 2019 เป็นการถือครองที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ในหมวดสกุลเงินท้องถิ่นอื่นๆ นี้ เดิมที เคยมีเงินหยวนรวมอยู่ด้วย แต่พอถึงปี 2016 ไอเอ็มเอฟก็จัดแยกเงินหยวนออกมาต่างหาก หลังไอเอ็มเอฟเพิ่มเงินหยวนเข้าไปในตระกร้าเงินที่หนุนโดย SDR สิทธิไถ่ถอนเงินพิเศษ หรือเงินสำรองระหว่างประเทศชนิดใหม่ แล้วนับจากนั้น เงินหยวนก็คุกคามสถานะความเป็นผู้นำของเงินดอลลาร์สหรัฐขึ้นมาทันที ในขณะที่จีนผงาดเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จึงไม่แปลกที่จีนจะมีทุนสำรองระหว่างประเทศมหาศาล
แต่เนื่องจากเงินหยวนถูกรัฐบาลจีนคุมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและการไหลเวียนเงินทุน ธนาคารกลางแต่ละประเทศจึงยังไม่ต้องการสำรองเงินหยวนมากนัก สัดส่วนเงินหยวนที่ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองจึงยังมีน้อย และบทบาทในการเป็นสกุลเงินสากลของโลกก็น้อยลงด้วย ธนาคารกลางทั่วโลกยังถือครองดอลลาร์ออสเตรเลียมากกว่าเงินหยวนเสียอีก
ข้อมูลจากไอเอ็มเอฟ ระบุสัดส่วนสกุลเงินอื่นๆ ยกเว้นดอลลาร์สหรัฐ และยูโร ที่ทั่วโลกถือครองในช่วงไตรมาสสองของปีนี้
1. เงินเยนญี่ปุ่น มีสัดส่วนการถือครองในทุนสำรองทั่วโลก 5.6% นำมาเป็นอันดับสามรองจากดอลลาร์สหรัฐและยูโร แม้ว่าเงินเยนจะแลกกลับออกมาเป็นสกุลเงินหลักอื่นๆได้น้อยลงแล้วก็ตาม
2. เงินปอนด์อังกฤษ 4.9% อยู่ในอันดับสี่
3. สกุลเงินท้องถิ่นอื่นๆ จับมัดรวมกัน คิดเป็นสัดส่วนทุนสำรองทั่วโลกอยู่ที่ 4.2%
4. ดอลลาร์แคนาดา 2.7%
5. ดอลลาร์ออสเตรเลีย 2.2%
6. เงินหยวนจีน 2.1%
7. ฟรังก์สวิส 0.2%
ส่วนทองคำแท่งไม่ได้อยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศในข้อมูลนี้ด้วย แต่ถือเป็นสินทรัพย์สำรองของธนาคารกลาง แต่ก็สามารถใช้แทนที่ทุนสำรองระหว่างประเทศได้ ในการจัดทำงบดุลของธนาคารกลาง
ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางแต่ละประเทศค่อยๆ ทยอยขายทองคำที่ตุนไว้ทิ้ง จนมาในข่วงสิบปีมานี้ ที่พวกเขาหันกลับมาตุนทองกันใหม่ จนตัวเลขทองคำที่อยู่ในมือธนาคารกลางทั่วโลกมีมากถึง 1,160 ล้านออนซ์ เท่าๆ กับเมื่อครั้งที่ธนาคารกลางทั่วโลกตุนทองเอาไว้ในช่วงทศวรรษที่ 1970 จากข้อมูลของไอเอ็มเอฟ และจนถึงตอนนี้ ปริมาณทองคำที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีอยู่ในมือคิดเป็นมูลค่า 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 99 ล้านล้านบาท จากทุนสำรองระหว่างประเทศที่ถือครองอยู่ทั้งหมดคือ 12.35 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 395 ล้านล้านบาท
By IMCT News