จับตาอาเซียนสู่การเป็นศูนย์กลางข้อมูลดิจิทัลระดับโลก
ขอบคุณภาพจาก Focus Malaysia
16/10/2024
บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของโลกกำลังแห่กันมาที่อาเซียน เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในช่วงเวลาที่ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและพลังการประมวลผลเพื่อเปิดใช้งานปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการลงทุนใหม่นี้คาดว่าจะมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจของภูมิภาค ด้วยการสร้างงานที่มีทักษะในด้านการก่อสร้าง วิศวกรรม และการบำรุงรักษาศูนย์ข้อมูล ขณะเดียวกันก็พัฒนาบุคลากรเฉพาะด้าน AI ความปลอดภัยทางไซเบอร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล และการจัดการ
ขณะเดียวกัน การลงทุนดังกล่าวจะช่วยปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของภูมิภาค ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและสถาบันขนาดใหญ่จัดเก็บข้อมูลในพื้นที่ได้ ลดระยะเวลาหยุดทำงานลงได้อย่างมาก และเพิ่มอิสระให้แก่ข้อมูล
ด้วยนวัตกรรมที่รองรับด้วย AI เช่น การค้นหาบน ChatGPT ซึ่งขณะนี้ต้องการความสามารถในการประมวลผลมากกว่าการค้นหาทางอินเทอร์เน็ตแบบเดิมอย่างน้อย 4-5 เท่า คาดว่าความต้องการศูนย์ข้อมูลจะเติบโตขึ้นประมาณ 20% ต่อปีในอีก 5-7 ปีข้างหน้า นักวิเคราะห์จาก Maybank ระบุในรายงาน
ศูนย์ข้อมูลคือสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับเซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่ายที่รองรับบริการอินเทอร์เน็ตและโทรคมนาคมที่ดีขึ้น ซึ่งในทางกลับกันก็ทำให้สามารถดำเนินกิจกรรมออนไลน์ยอดนิยม เช่น การเล่นเกม การสตรีมสด และการลงทุน รวมถึงเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น คลาวด์คอมพิวติ้งและ AI ได้
ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ความพร้อมของพลังงาน และความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์ อาเซียนจึงกลายเป็นภูมิภาคที่เหมาะสำหรับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีในการสร้างฐานศูนย์ข้อมูล โดย 5 ประเทศแรกคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
แม้ว่าสิงคโปร์จะเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องการในการโฮสต์ศูนย์ข้อมูล เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่เหนือกว่าและระบอบการกำกับดูแลที่มั่นคง แต่สิงคโปร์ก็ได้หยุดการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลเป็นเวลาสามปีระหว่างปี 2019-2022 เพื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านมาเลเซีย ยึดเงินลงทุนในศูนย์ข้อมูลใหม่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาในภูมิภาคในช่วงเวลาดังกล่าว และปัจจุบันคาดว่าศูนย์ข้อมูลที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 1 กิกะวัตต์ (GW) จะเริ่มเปิดใช้งานภายในสองปีข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของกำลังการผลิตศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีการประกาศแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 3 กิกะวัตต์ และหากได้รับการอนุมัติ แผนดังกล่าวจะทยอยเปิดตัวในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ตามข้อมูลจาก RHB Bank ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปัจจุบันความจุศูนย์ข้อมูลของสิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 1.4 กิกะวัตต์
ขณะเดียวกัน บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น Microsoft ได้ประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคม (2024) ว่าจะลงทุน 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ในประเทศ
ส่วน Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนการลงทุนประมาณ 6.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการตั้งศูนย์ข้อมูลและภูมิภาคคลาวด์ในมาเลเซียเมื่อเดือนสิงหาคม (2024) ซึ่งผู้ให้บริการคลาวด์รายนี้กำลังพัฒนาภูมิภาคที่คล้ายคลึงกันในไทย โดยเปิดเผยแผนการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในศูนย์ข้อมูลที่ไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าในปีนี้ (2024) ทำให้ไทยเป็นภูมิภาค AWS แห่งที่ 4 ในอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ขณะที่ Google ระบุเมื่อเดือนที่แล้ว (ก.ย.2024) ว่าจะลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลและภูมิภาคคลาวด์ในไทย ที่จนถึงขณะนี้มีผู้ให้บริการที่ทุ่มเงินไปแล้วประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามรายงานของนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley
ภายในปี 2028 RHB Bank คาดว่ามาเลเซียจะมีส่วนแบ่งพลังประมวลผลของศูนย์ข้อมูลมากกว่าครึ่งหนึ่งในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 5 อันดับแรก จากการที่ศูนย์ข้อมูลในยะโฮร์คิดเป็นส่วนใหญ่ของสินค้าคงคลังที่มากกว่า 2.3 กิกะวัตต์ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลมาเลเซียต้องแข่งขันอย่างใกล้ชิดกับสิงคโปร์สู่การเป็นศูนย์กลางศูนย์ข้อมูลของภูมิภาค
หลังจากยกเลิกการระงับบางส่วนในปี 2022 สิงคโปร์ได้มอบกำลังการผลิตใหม่ประมาณ 80 เมกะวัตต์ให้กับ Equinix, GDS, Microsoft และกลุ่มพันธมิตร AirTrunk-ByteDance ในเดือนกรกฎาคมปี 2023 ขณะเดียวกัน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (2024) รัฐบาลประกาศว่าอาจมีการจัดหากำลังการผลิตศูนย์ข้อมูลอย่างน้อย 300 เมกะวัตต์ในเร็วๆ นี้ ซึ่งสิงคโปร์ส่งสัญญาณว่าจะเลือกสรรมากขึ้น เมื่อมอบกำลังการผลิตใหม่ในอนาคต จากการที่ศูนย์ข้อมูลถือเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนทางอ้อมที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ ตามคำกล่าวของ Dr.Janil Puthucheary รัฐมนตรีอาวุโสด้านการสื่อสารและสารสนเทศสิงคโปร์ในขณะนั้น
Puthucheary เสริมว่า ศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนร้อยละ 82 ของภาคส่วนข้อมูลและการสื่อสาร และร้อยละ 7 ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ แต่สิงคโปร์อาจมอบกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีก 200 เมกะวัตต์ให้กับผู้ประกอบการที่สามารถใช้แหล่งพลังงานสีเขียวในการดำเนินงานสิ่งอำนวยความสะดวก และจะจัดทำโครงการและแรงจูงใจเพื่อสนับสนุนการลงทุนดังกล่าวได้
ด้าน Dedi Iskandar หัวหน้าฝ่ายโซลูชันศูนย์ข้อมูลของ CBRE ซึ่งเป็นที่ปรึกษาการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ ขอให้ทางการชี้แจงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในเรื่องนี้ เพราะ “อุตสาหกรรมนี้ไม่มีภาพที่ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหลังจากที่มีการประกาศกำลังการผลิตเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม หรือเราจะเสนอราคาได้เมื่อใดหรืออย่างไร เราไม่เห็นข้อมูลนี้ออกมา และนั่นทำให้เกิดความไม่แน่นอน”
“เมื่อผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลไม่มีวิสัยทัศน์ พวกเขาก็ไม่สามารถวางแผนลงทุนในสิงคโปร์ได้” Iskandar กล่าว พร้อมระบุว่า แม้ว่าสิงคโปร์จะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องการสำหรับการโฮสต์แอปพลิเคชันคอมพิวเตอร์ที่สำคัญต่อภารกิจ แต่ยะโฮร์ซึ่งยังคงประสบปัญหาด้านบุคลากรและการขาดแคลนน้ำก็กำลังปรับปรุงอย่างรวดเร็ว
ความเสี่ยงสูงสุดสำหรับสิงคโปร์เกิดขึ้นเมื่อช่องว่างราคาสำหรับการสร้างและดำเนินการศูนย์ข้อมูลเมื่อเทียบกับยะโฮร์มีมากเกินไป และเมื่อคุณภาพของบริการศูนย์ข้อมูลระหว่างสองตลาดแคบลง
จากข้อมูลของ CBRE แสดงให้เห็นว่าต้นทุนการก่อสร้างเฉลี่ยสำหรับศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 11.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัตต์ ซึ่งสูงที่สุดในเก้าเมืองในเอเชีย ในขณะที่ยะโฮร์ ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัตต์ นอกจากนี้ ต้นทุนพลังงานและที่ดินในยะโฮร์ยังอยู่ในระดับต่ำที่สุดในภูมิภาคอีกด้วย ซึ่ง “สิ่งนี้จะกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ ย้ายการดำเนินการศูนย์ข้อมูลของตนจากสิงคโปร์ไปยังยะโฮร์โดยธรรมชาติ” ตามมุมมองของ Iskandar
IMCT News
ที่มา https://asianews.network/southeast-asia-emerges-as-global-data-centre-hot-spot-as-ai-usage-rises/