Thailand
จีน รัสเซีย ยูเครน อิสราเอล อิหร่านจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเลือกตั้งสหรัฐ
6/11/2024
โลกกำลังจับตาดูการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะที่ชาวอเมริกันไปลงคะแนนเสียงในวันอังคาร แต่ผลของการเลือกตั้งจะมีผลกระทบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศเช่น จีน รัสเซีย ยูเครน อิสราเอลและอิหร่าน
สำหรับบางประเทศ ผลของการเลือกตั้งสหรัฐอาจสร้างความแตกต่างระหว่างสงครามกับสันติภาพ เสถียรภาพและความผันผวน ความเจริญรุ่งเรืองหรือความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้นสำหรับยูเครน ซึ่งกำลังอ่อนกำลังลงตามลำดับในการทำสงครามกับรัสเซีย
ต่อไปนี้เราจะมาดูบางประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ไม่ว่าจะเชิงบวกหรือเชิงลบจากการเลือกตั้ง โดยที่ไม่ว่าจะเป็นอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน หรือรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครตที่จะเข้าทำเนียบขาว
จีน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจีนคือคู่แข่งทางเศรษฐกิจรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ไม่ว่าใครก็ตามที่จะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปต้องมีนโยบายกับจีนโดยเฉพาะ
ทรัมป์ได้ขู่ที่จะรื้อฟื้นสงครามการค้าที่เริ่มขึ้นในช่วงวาระแรกของเขาในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งเขากำหนดอัตราภาษีนำเข้าจากจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ทรัมป์ปกป้องมาตรการดังกล่าวว่าเป็นแนวทางในการลดการขาดดุลการค้ากับจีน และเพื่อเพิ่มงานและความสามารถในการแข่งขันของชาวอเมริกัน
ในปีนี้ ทรัมป์กล่าวว่าหากเขาได้รับเลือกอีกครั้ง เขาจะขึ้นภาษีสินค้าจีน 60-100% จีนไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายเพียงประเทศเดียว เนื่องจากทรัมป์ขู่ว่าจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 10% สำหรับการนำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะทำให้ครัวเรือนอเมริกันทั่วไปต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มประมาณ 1,700 ดอลลาร์ต่อปี และมากกว่านั้นอีกหากมีการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรยกแผง 20% ตามที่ทรัมป์เสนอ
ทีมรณรงค์หาเสียงของแฮร์ริสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อข้อเสนอการขึ้นภาษีศุลากรแบบยกแผง แต่มีสัญญาณเพียงเล็กน้อยที่ฝ่ายบริหารที่นำโดยพรรคเดโมแครตจะเลิกใช้ภาษีศุลกากรในปัจจุบัน เช่น ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าหรือแผงโซลาร์เซลล์ที่นำเข้าจาจีน ที่นำมาใช้ในช่วงดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีไบเดน
การเริ่มต้นของยุคการเมืองใหม่ในสหรัฐฯ เกิดขึ้นท่ามกลางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งกำลังประสบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ และการตกต่ำของตลาดที่อยู่อาศัย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะมีการประกาศในปลายสัปดาห์นี้ โดยขนาดของมาตรการน่าจะขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง
นักวิเคราะห์บอกกับ CNBC ชัยชนะของทรัมป์น่าจะหมายถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าของจีนเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ
รัสเซียและยูเครน
จากการที่ยูเครนทำสงครามกับรัสเซียอย่างต่อเนื่อง และเคียฟต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางทหารจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้สามารถสู้รบต่อไปได้ ยูเครนจะจับตาดูการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับมอสโก
เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์และพรรครีพับลิกันหัวแข็งจะต่อต้านการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนมากขึ้น ซึ่งขัดขวางความสามารถของยูเครนในการต่อสู้กับรัสเซียต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ
ทรัมป์ยังคุยโอ้อวดอีกว่าเขาสามารถยุติสงครามยูเครนได้ภายใน 24 ชั่วโมงหากได้รับเลือก โดยส่งสัญญาณว่าเขาจะถอนปลั๊กเงินทุนของยูเครนเพื่อบังคับให้สงครามนี้เข้าสู่ข้อตกลงการเจรจากับรัสเซีย นั่นอาจหมายถึงการสูญเสียดินแดนเกือบ 20% ในทางใต้และตะวันออกของยูเครนที่กองทัพรัสเซียยึดครองอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะต่อสู้ต่อไปโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ยูเครนสูญเสียที่ดินเพิ่มมากขึ้น การเลือกตั้งของสหรัฐฯ สำหรับยูเครนจึงเป็นการเลือกตั้งที่สงผลกระทบอย่างมากต่ออนาคต
“การเลือกตั้งของสหรัฐฯ อาจบีบบังคับชาวยูเครน เนื่องจากการชนะของทรัมป์จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายของอเมริกาในทันที และจะมีแรงกดดันโดยตรงต่อเคียฟให้มีการเจรจามากขึ้น ซึ่งหมายความว่าชาวยูเครนอาจต้องตัดสินใจว่าในไม่ช้าพวกเขาต้องการแยกตัวออกจากสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทางทหารที่สำคัญที่สุดของพวกเขาหรือไม่” เอียน เบรมเมอร์ ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มยูเรเซีย กรุ๊ป กล่าวในความคิดเห็นทางอีเมลเมื่อวันจันทร์
เป็นไปได้ว่าแม้แต่ฝ่ายบริหารที่เป็นมิตรกับรัฐบาลเคียฟภายใต้แฮร์ริส ซึ่งให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนยูเครนที่เสียหายจากสงครามต่อไป อาจต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อผ่านงบประมาณการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมสำหรับยูเครน ขึ้นอยู่กับว่าพรรคใดครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส
แฮร์ริสกล่าวว่ารัฐบาลในอนาคตของเธอจะสนับสนุนยูเครน “ตราบเท่าที่ยังต้องใช้เวลา” แต่ทั้งเธอและวอชิงตันไม่ได้ให้คำจำกัดความอย่างชัดเจนว่าคำแถลงดังกล่าวหมายถึงอะไร ชัยชนะของยูเครนมีลักษณะอย่างไร หรือความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ มีขีดจำกัดหรือไม่
อิสราเอลและอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม ตะวันออกกลางเป็นพื้นที่ที่จุดยืนนโยบายต่างประเทศของทรัมป์และแฮร์ริสอาจสอดคล้องกันมากขึ้น ผู้สมัครทั้งสองคนให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนอิสราเอลต่อไป ในขณะที่อิสราเอลทำสงครามกับตัวแทนของอิหร่าน ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ในฉนวนกาซาและเลบานอนตามลำดับ พร้อมทั้งผลักดันให้ความขัดแย้งยุติลงโดยเร็ว
อิหร่านขู่ว่าจะตอบโต้การโจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธขนาดใหญ่ต่อสถานที่ทางทหารของประเทศเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งหมายความว่าวงจรการตอบโต้แบบตาต่อตาระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจดำเนินต่อไปจนถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง
เมื่อเร็วๆ นี้ ทรัมป์ได้แสดงตนเป็น “ผู้พิทักษ์” อิสราเอล โดยอ้างถึงการสนับสนุนอิสราเอลในอดีตของเขาในเวทีประชุมสุดยอดสภาอิสราเอล-อเมริกันในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และเขาเสนอแนะว่าอิสราเอลเผชิญกับ “การถูกทำลายล้างโดยสิ้นเชิง” หากเขาไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยไม่ได้ให้เหตุผลสนับสนุนคำพูดดังกล่าว นอกจากนี้ทรัมป์ยังสร้างความปั่นป่วนด้วยการบอกผู้ฟังว่า “ใครก็ตามที่เป็นชาวยิวและรักการเป็นยิวและรักอิสราเอลจะเป็นคนโง่ถ้าพวกเขาลงคะแนนให้พรรคเดโมแครต”
ทรัมป์ได้รับความนิยมในอิสราเอลในช่วงวาระแรกที่เขาดำรงตำแหน่ง หลังจากแหกประเพณีหลายทศวรรษของสหรัฐฯ โดยยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล นอกจากนี้ เขายังยอมรับอย่างเป็นทางการว่าพื้นที่ที่ราบสูงโกลันซึ่งเป็นดินแดนของซีเรียอยู่ภายใต้อธิปไตยของอิสราเอล ทำให้เขาได้รับการยกย่องเพิ่มเติมจากอิสราเอล
การสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยสถาบันประชาธิปไตยอิสราเอลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่าเกือบ 65% รู้สึกว่าทรัมป์จะดีกว่าสำหรับผลประโยชน์ของอิสราเอล ซึ่งมากกว่า13% ของความคิดเห็นที่รู้สึกว่าแฮร์ริสจะทำดีให้อิสราเอล มากกว่า 15%ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวอิสราเอล กล่าวว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้สมัครทั้งสอง ในขณะที่ 7% บอกว่าพวกเขาไม่รู้
แฮร์ริสถูกกล่าวหาว่ามีท่าทีไม่ชัดเจนต่ออิสราเอล หลังจากการวิพากษ์วิจารณ์ยุทธศาสตร์ทางทหารของประเทศ โดยกล่าวว่าการสูญเสียชีวิตของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเมื่อปีที่แล้วเป็นเรื่อง “น่าสลดใจ” และ “น่าสะเทือนใจ”
แฮร์ริสพยายามขจัดข้อกล่าวหาของพรรครีพับรีกันว่าเธอต่อต้านอิสราเอล โดยระบุในเดือนสิงหาคมว่าเธอจะ “ยืนหยัดเพื่อสิทธิของอิสราเอลในการปกป้องตัวเองเสมอ และฉันจะรับรองเสมอว่าอิสราเอลมีความสามารถในการปกป้องตัวเอง” เช่นเดียวกับการตำหนิการเปิดฉากโจมตีอิสราเอลใน 7 ต.ค. ของฮามาสเมื่อปีที่แล้ว
สำหรับอิหร่าน เจ้าหน้าที่ระดับภูมิภาคและตะวันตกบอกกับรอยเตอร์ว่าพวกเขาเชื่อว่าการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์จะเป็นข่าวร้ายสำหรับเตหะราน โดยที่มีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะให้ไฟเขียวแก่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู เพื่อโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกยับยั้งโดยไบเดน ภายใต้ทรัมป์จะมีการกำหนดเป้าหมายการลอบสังหาร และนำ "นโยบายกดดันสูงสุด" มาใช้ใหม่ ผ่านการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันอิหร่านมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน แฮร์ริสถูกมองว่ามีแนวโน้มที่จะคงจุดยืนนโยบายต่างประเทศของไบเดนต่อไป หากเธอชนะตำแหน่ง เพื่อลดความตึงเครียด เธอกล่าวกับตัวเองเมื่อปลายเดือนตุลาคมว่า ข้อความของเธอถึงอิหร่านหลังการโจมตีล่าสุดของอิสราเอลคือ “อย่าตอบสนอง” และ “จะต้องมีการลดความรุนแรงในภูมิภาค”
เอกอัครราชทูตมิทเชลล์ บี. รีสส์ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันวิจัย Royal United Services Institute แสดงความคิดเห็นเมื่อวันจันทร์ว่าฝ่ายบริหารของแฮร์ริสจะไม่เบี่ยงเบนไปจากแนวทางปัจจุบันมากเกินไป
“เราไม่ทราบมุมมองโลกของเธอ ความชอบด้านนโยบายของเธอ แม้แต่ตัวเลือกของเธอสำหรับตำแหน่งคณะรัฐมนตรีระดับสูง ผมเดาได้ดีที่สุดว่าประธานาธิบดีแฮร์ริสจะดำเนินนโยบายต่างประเทศของโจ ไบเดนต่อไป โดยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันดีกับพันธมิตรและมิตรสหาย และให้ความสำคัญกับการทูตเป็นอย่างมาก” รีสส์กล่าว
“การดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์จะเป็นอย่างไร? ที่นี่เรามีความคิดที่ดีกว่า เรารู้อยู่แล้วว่าทรัมป์มองโลกในแง่ส่วนตัวและการทำธุรกรรมมากกว่าในแง่กลยุทธ์”
ที่มา CNBC
© Copyright 2020, All Rights Reserved