ขอบคุณภาพจาก RT
29/10/2024
บทความของ Aaryaman Nijhawan นักวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และนักวิเคราะห์ ซึ่งตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ RT สื่อของรัฐบาลรัสเซีย ระบุว่า การประชุมสุดยอดผู้นำ BRICS ซึ่งเพิ่งปิดฉากที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ดูจะเป็นเสียงระฆังมรณะสำหรับระเบียบโลกภายใต้การนำของพวกตะวันตก พวกเขาไม่ยอมรับมาตรการคุมเข้มทางการค้าแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือ การคว่ำบาตร เพราะจะเป็นอันตรายต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และชัดเจนว่า มาตรการนี้ยังบ่อนทำลายกฎบัตรสหประชาชาติ ไม่สอดคล้องกับกฎขององค์การการค้าโลก และสวนทางกับกฎหมายระหว่างประเทศ
แม้กลุ่ม BRICS จะยังมีความเห็นไม่ตรงกันในหมู่สมาชิกว่า จะวางตัวเป็นกลางแบบไม่อิงไปทางตะวันตก หรือ จะชูจุดยืนต่อต้านตะวันตกแบบรุนแรงไปเลยดี แต่อย่างน้อย ทางกลุ่มก็เห็นพ้องว่า จะดำเนินภูมิยุทธศาสตร์แบบประชาธิปไตย และประณามอิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการขัดต่อหลักมนุษยธรรม อีกทั้งยังวิตกที่ความรุนแรงส่อเค้าบานปลาย
ในขณะที่รัสเซียและอินเดียมองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่า มีแนวโน้มจะเป็นแบบหลายขั้วอำนาจมากขึ้น แต่นักวิชาการชาวจีนจำนวนมาก เชื่อมั่นว่า ยุคที่ใกล้เข้ามา จะแบ่งออกเป็นสองขั้วใหญ่ๆ ด้วยกัน ปฏิญญาคาซานในครั้งนี้ ยังอ้างถึงกลุ่ม G20 ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มการเจรจาของทั้งกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเน้นความเท่าเทียมและได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน
แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ ในขณะที่ตะวันตกเสื่อมอิทธิพลลงเรื่อยๆ แต่ดอลลาร์สหรัฐก็ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ การค้ายังคงทำกันโดยใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก สหรัฐยังทุ่มงบทางการทหารอย่างไม่มีใครเทียบได้ และเส้นทางทะเลยังถูกควบคุมและลาดตระเวณโดยกองทัพเรือสหรัฐ
การมาของ BRICS จะช่วยให้สังคมโลกเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นหรือไม่ ? เพราะสหรัฐ แม้จะเป็นหนึ่งในประเทศประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่เก่าแก่สุดในโลก แต่หลายครั้งที่สหรัฐ แสดงให้เห็นถึงการขาดความยืดหยุ่น เมื่อต้องเลือกตัวแทนจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ให้ไปอยู่ในธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ
นอกจากนี้ ยังมีอันตรายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นมามากกว่าเดิม ซึ่ง Graham T. Allison นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน เรียกมันว่า “ Thucydides Trap “ หรือ กับดักธูสิดีดิส หมายถึงการแข่งกันระหว่างรัฐมหาอำนาจสองฝ่าย ซึ่งจะนำไปสู่สงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกับดักเช่นนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้ความข้ดแย้งในเชิงโครงสร้าง จะต้องใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา เป็นสิ่งที่รัฐมหาอำนาจสองฝ่ายไม่อาจหลีกหนีไปได้ สงครามจึงกลายเป็นกฎ เมื่อรัฐมหาอำนาจใหม่ต้องการทะยานตัวขึ้น และมีบทบาทแทนที่รัฐมหาอำนาจเก่าซึ่งอยู่ด้วยความกลัว และมองการขึ้นสู่อำนาจของรัฐมหาอำนาจใหม่ว่า เป็นภัยคุกคาม
จากการคำนวณของ Allison เขาพบว่า เคยเกิดกรณีเช่นนี้มา 16 ครั้งในช่วง 500 ปี ที่ผ่านมา และมีอยู่ 12 ครั้งในนี้ ที่จบลงด้วยความขัดแย้ง
ด้วยเหตุนี้ Aaryaman Nijhawan จึงมองว่า แทนที่จะละเลยและเมินเฉยต่อการขยายตัวของกลุ่ม BRICS สหรัฐและตะวันตก ควรหันมาเชื่อมผลประโยชน์เข้ากับกลุ่ม BRICS จะดีกว่า สร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ระหว่าง G7 และ BRICS รวมถึงระบบ Bretton Woods หรือ ระบบการเงินระหว่างประเทศที่ทองคำเป็นเครื่องชี้วัดมูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินสกุลอื่นๆ ที่ผูกติดกับดอลลาร์ ก็ควรเอามาเชื่อมโยงกับธนาคาร New Development Bank ของกลุ่ม BRICS และนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย หรือ AIIB
ทั้งสองกลุ่มควรหาจุดร่วมมากกว่าจุดต่าง และไม่ควรไปคิดว่า นี่คือสงครามเย็นรอบสอง เพราะมันเร็วเกินไปที่จะไปด่วนสรุปแบบนั้น
Aaryaman Nijhawan ยังเห็นว่า สมาชิกกลุ่ม BRICS รวมถึงประเทศในกลุ่มซีกโลกใต้ ก็ไม่ได้ต่างจากกลุ่มยุโรปเลย ที่อยากจัดทำสันติภาพเวสต์ฟาเลีย ซึ่งก็คือชื่อรวมของสนธิสัญญาสันติภาพฉบับที่ลงนามในปี 1648 นำสันติภาพมาสู่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ปิดฉากช่วงเวลาอันเลวร้ายในประวัติศาสตร์ยุโรปที่คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณแปดล้านคน
และดูเหมือนว่า กลุ่มประเทศในซีกโลกใต้ อยากจะทำสนธิสัญญาสันติภาพมากกว่ากลุ่มยุโรปเสียอีก เพื่อส่งเสริมอธิปไตยและอาณาเขต และสิ่งนี้ก็ปรากฏอยู่ในเนื้อหาของปฏิญญาคาซาน อย่างที่นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ของอินเดีย ย้ำว่า ปัจจุบัน ไม่ใช่ยุคของสงคราม มันเป็นยุคของเทคโนโลยีและเอไอ เข้ามาท้าทายความคิดและสติปัญญาของมนุษย์ ผู้นำโลกทั้งเก่าและใหม่ ควรข้ามผ่านความผิดพลาดในอดีตและหลอมรวมรากเหง้าแห่งสันติภาพ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทำตาม
By IMCT News
อ้างอิงจาก https://www.rt.com/india/606579-trap-for-west-why-brics/