ทรัมป์ไม่ได้ดึงปูตินออกจากสี จิ้นผิง

ทรัมป์ไม่ได้ดึงปูตินออกจากสี จิ้นผิง แต่ต้องการทำลายยุโรปต่างหาก
5-3-2025
มีนักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการที่โดนัลด์ ทรัมป์พยายามสานสัมพันธไมตรีกับวราดิเมียร์ ปูตินเพื่อที่จะแยกรัสเซียออกจากจีน เพื่อว่าสหรัฐจะได้ออมทรัพยากรในการดำเนินนโยบายเชิงรุกกับจีนในวาระต่อไป เพราะว่าสหรัฐมองว่าเป็นจีนเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งที่แท้จริง -- ไม่ใช่รัสเซีย -- ที่จะแซงหน้าสหรัฐเป็นมหาอำนาจโลกในศตวรรษที่ 21
แต่การมองเช่นนี้ไม่น่าที่จะถูกต้อง ทรัมป์หันมาฟื้นความสัมพันธ์กับรัสเซียก็เพื่อที่จะโดดเดี่ยวหรือทำลายยุโรปต่างหาก ถ้าวิเคราะห์ดีๆในเวลานี้จะเห็นได้ว่าสหรัฐและรัสเซียได้ประโยชน์จากความอ่อนแอของยุโรปที่มีโอกาสล่มสลาย รวมท้ังเงินยูโร และองค์กรนาโต้ที่จะล้มหายตายจากไป
ในแง่ของรัสเซียเมื่อยุโรปล่มสลาย จะไม่เป็นภัยต่อรัสเซียต่อไป ประเทศยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออกจะหันกลับมาซบอกรัสเซียเหมือนในสมัยสหภาพโซเวียต เพราะว่าไม่สามารถพึ่งพาบรัสเซลล์ได้อีกต่อไป ความฝันของปูตินคือการรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของรัสเซียในยูเรเซีย ส่วนเยอรมนีต่อไปต้องเปลี่ยนนโยบายหันมาคบกับรัสเซีย ทิ้งเงินยูโร ออกจากสหภาพยุโรป และนาโต้เพื่อว่าจะได้ใช้เวลาฟิ้นฟูตัวเองให้กลับมายิ่งใหญ่ในยุโรปตะวันตกต่อไป ส่วนอังกฤษและฝรั่งเศสจะถดถอยไปเรื่อยๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม
ส่วนในแง่ของสหรัฐ Rand Corporationเคยเขียนรายงานว่านโยบายที่ซ่อนเร้นของสหรัฐคือทำให้ยุโรปอ่อนแอ เพราะว่าเมื่ออ่อนแอลงบริษัทยุโรปจะย้ายฐานผลิตมาสหรัฐ เงินลงทุนจะไหลเข้ามาลงทุนในอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพต่างๆของยุโรปจะย้ายเข้ามาทำงานในสหรัฐ ซึ่งจะช่วยทำให้สหรัฐสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันได้ต่อไป และจะเป็นไปตามสโลแกนMake America Great Againของทรัมป์ ปรากฎว่ารายงานชิ้นนี้ของRand Corporationถูกลบออกจากระบบ ใครเอาไปอ้างอิงจะถูกกล่าวหาว่าเอาเฟคนิวส์มาเล่น
เมื่อแรกเริ่ม สงครามยูเครนถูกกำหนดให้เป็นสงครามตัวแทนที่สหรัฐกับยุโรปร่วมมือกันเพื่อทำลายรัสเซีย แต่แผนไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ เพราะว่ารัสเซียมีสายป่านที่ยาว มีเศรษฐกิจที่พึ่งพาตัวเองได้ในระดับสูง และทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แสนยานุภาพของรัสเซียไม่เป็นรองใคร และอุตสาหกรรมทางทหารมีความเข้มแข็ง ปูตินใช้ความอดทน โดยไม่สนใจในการยั่วยุใดๆ เดินหน้าทำลายกองทัพยูเครนอย่างเดียวด้วยยุทธศาสตร์สงครามที่ยืดเยื้อ สงครามที่ยืดเยื้อหรือในแง่หนึ่งสงครามเศรษฐกิจที่รัสเซียมีความเข้มแข็งกว่าในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ทำให้ยูเครนอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา และมีผลทำให้ยุโรปถูกลากลงเหวไปด้วย ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษทุ่มหมดหน้าตักในการทำสงครามยูเครน เพื่อล้มรัสเซียและเข้าไปครอบครองทรัพยากรธรรมชาติมูลค่า$75ล้านล้าน และล้างหนี้ในระบบของตัวเอง
ยิ่งสงครามยืดเยื้อ รัสเซียยิ่งจะเข้มแข็งขึ้น จีดีพีรัสเซียปีที่แล้วโตเกือบ4% ในขณะที่ยุโรปส่วนใหญ่มีอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจติดลบ เศรษฐกิจของเยอรมนีโต0% ยุโรปมีเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้ว ภาครัฐมีหนี้สูง ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมถอยหลังไปเรื่อยๆ คุณภาพและราคาสินค้าสู้จีน และตลาดเกิดใหม่ไม่ได้ กองทุนบำเหน็จบำนาญ และกองทุนประกันภัยของยุโรปถูกล็อคคอด้วยกฎเกณฑ์ให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในสัดส่วนที่สูง เมื่อยุโรปใช้ดอกเบี้ย0%ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้กองทุนไม่มีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายบำนาญ การถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่มีหนี้สูงก็มีความเสี่ยงว่าจะถูกเบี้ยวหนี้
ปูตินไม่เร่งรีบในการเผด็จศึกยูเครน เพราะว่าใช้ยุทธศาสตร์สงครามที่ยืดเยื้อเพื่อที่จะลากยุโรปให้ลงเหวไปพร้อมกับยูเครน สหรัฐเห็นประจักษ์ในความเป็นจริงอันเจ็บปวดนี้ จึงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายสงครามยูเครน โดยเปิดทางให้ทรัมป์เข้ามาทำหน้าทีบริหารประเทศ เมื่อลงทุนในยูเครนแล้วกลายเป็นหนี้เสีย สหรัฐจึงต้องตัดหนี้สูญ โดยที่สหรัฐจะไม่บอบช้ำนักจากสงคราม เพราะว่าสมรภูมิอยู่ในยุโรปตะวันออก นอกจากจะตัดหนี้สูญด้วยการเลิกให้การสนับสนุนยูเครนแล้ว ทรัมป์ยังหักหลังยุโรปที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมาตลอดอย่างเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสงครามโลกคร้ังที่สองเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ข้ามมหาสมุทตรแอตแลนติก (Trans-Atlantic Relationship)ระหว่างสหรัฐกับยุโรปถือเป็นเสาหลักของความมั่นคงของยุโรป ที่สมาชิกประเทศในยุโรปอาจจะทะเลาะเบาะแว้งกันได้ แต่ต้องห้ามทะเลาะกับสหรัฐที่เป็นผู้ให้การันตีความมั่นคงของยุโรปผ่านแสนยานุภาพของสหรัฐ อาวุธและเงินช่วยเหลือในด้านต่างๆ
ทรัมป์ย่อมไม่ต้องการให้ตัวเองถูกประวัติศาสตร์จารึกว่าเป็นผู้พ่ายแพ้สงครามยูเครนต่อปูติน แม้ว่าเขาจะรับช่วงมรดกของสงครามต่อจากโจ ไบเดนก็ตาม ทรัมป์จึงเรียกร้องสันติภาพมาตลอด เพราะรู้ผลของสงครามแล้วว่าปูตินจะได้ชัยชนะในที่สุด ทรัมป์จึงพูดย้ำเสมอว่าเขาต้องการยุติสงครามยูเครนแต่โดยเร็ว และต้องการให้ยุโรปพึ่งพาตัวเองด้านกลาโหมมากยิ่งขึ้น
การหักหลังยุโรปโดยทรัมป์ถือว่าเป็นการล้มกระดานภูมิรัฐศาสตร์โลกคร้ังใหญ่ ซึ่งเป็นความจำเป็น เพราะว่าสหรัฐไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต เศรษฐกิจของสหรัฐไม่ได้เข้มแข็งเหมือนเดิม มีหนี้มากจนไม่สามารถใช้คืนได้ต้องพิมพ์เงินใหม่ไปจ่ายหนี้เก่าไปเรื่อยๆ ทำให้มีการตั้งคำถามเสถียรภาพของดอลล่าร์ ถ้าหากแก้ปัญหานี้ไม่ได้ และต้องมีการเพิ่มปริมาณเงินมาจ่ายหนี้ สหรัฐจะเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงในที่สุด
ส่วนแสนยานุภาพของสหรับก็ไม่ได้เหนือกว่ารัสเซียและจีนแต่ประการใด อาวุธของรัสเซียและจีน แม้กระทั่งโดรนและขีปนาวุธของอิหร่านมีความก้าวหน้าทันสมัย มีราคาถูกกว่าแต่ประสิทธิภาพสูงกว่าอาวุธของสหรัฐที่อุตสาหกรรมอาวุธเน้นกำไรมากกว่าประสิทธิภาพ
สรุปได้ง่ายๆว่า สหรัฐไม่มีศักยภาพในการรักษาความเป็นมหาอำนาจโลกขั้วเดียวได้อีกต่อไป ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงของระบบพหุนิยมที่กำลังเกิดขึ้นผ่านการรวมตัวของมหาอำนาจในภูมิภาคต่างๆของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของรัสเซียและจีน
ด้วยเหตุนี้ทรัมป์จึงยกเลิกบทบาทการเป็นตำรวจโลกของสหรัฐ เพราะว่ามันไม่คุ้มทุน หรือไม่มีสักยภาพเพียงพอที่จะรักษาสถานภาพนี้ต่อไป
ในสถานการณ์ปัจจุบัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ปูตินจะเห็นประโยชน์กับการยื่นหมูยื่นแมวของทรัมป์มากกว่าความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซียกับจีน ที่รัสเซียยืนหยัดอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะว่ามีจีนคอยระวังหลังให้ และให้การสนับสนุนรัสเซียในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเงินและแหล่งระบายสินค้าของจีนที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตร จีนช่วยรัสเซียทุกอย่างเพื่อให้ชนะศึกสงคราม เพราะว่าถ้าหากทั้งสหรัฐและยุโรปอ่อนแอลง จะได้ไม่เป็นภัยต่อจีนต่อไป ปูตินเข็ดหลาบกับคำมั่นคำสัญญาของตะวันตกที่บิดพริ้ว หรือเบี้ยวมาตลอด การเจรจายุติสงครามยูเครนกับสหรัฐในเวลานี้ จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะเงื่อนไขของการยุติสงครามยูเครนเท่านั้น แต่ปูตินไปไกลเลยเถิดขนาดต้องการสนธิสัญญาความมั่นคงระหว่างรัสเซียกับยุโรป รัสเซียกับนาโต้ และรัสเซียกับสหรัฐ ถ้าหากยุโรปหรือนาโต้ยังคงสามารถดำรงสภาพต่อไป มาร์โก รูบิโอ รมว ต่างประเทศสหรัฐจึงช็อคในระหว่างการเจรจายุติสงครามยูเครนกับเซอร์เก้ ลาฟรอฟ รมว ต่างประเทศรัสเซียที่เรียกร้องให้สหรัฐถอนฐานทัพออกจากยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออก ซึ่งเป็นหัวข้อที่กว้างกว่ากรอบการเจรจาที่รูบิโอได้รับมอยหมายให้เจรจากับรัสเซีย
การมองว่าทรัมป์สานสายสัมพันธ์กับปูตินเพื่อดึงปูตินออกจากสี จิ้นผิงจึงเป็นการวิเคราะห์ที่ไม่น่าจะถูกต้อง โดยมีความพยายามที่จะโยงไปถึงสมัยประธานาธิบดีนิกสันที่ส่งเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ให้แอบไปเยือนจีนเพื่อเปิดความสัมพันธ์กับจีนเพื่อที่จะถ่วงดุลอำนาจกับสหภาพโซเวียต ความจริงแล้วในเวลานั้น จีนก็ไม่ลงรอยกับสหภาพโซเวียต เนื่องจากเป็นคอมมิวนิสต์คนละสาย คิสซิงเตอร์ต้องการสร้างจีนให้เป็นฐานผลิตอุตสาหกรรม และเป็นตลาดรองรับสินค้าอเมริกันมากกว่า โดยหวังว่าจะสามารถควบคุมจีนได้ ผ่านระบบการเงิน การแทรกซึมทางความมั่นคง และการทหาร ที่ไหนได้ จีนกลับพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบสหรัฐ ที่ไม่สามารถทุบจีนลงเหมือนกับที่เคยทำกับเยอรมนีกับญี่ปุ่น จีนจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสหรัฐในเวลานี้ เพราะว่าถ้าเอาจีนไม่ลง สหรัฐจะถูกทิ้งห่างไปในที่สุด
ทรัมป์จึงแก้เกมการถดถอยของสถานภาพความเป็นมหาอำนาจโลกของสหรัฐ ด้วยการกลับมารักษาฐานอำนาจในซีกโลกตะวันตก (Western Hemisphere) อันเป็นที่มาของความต้องการของทรัมป์ที่จะยึดเกาะกรีนแลนด์ ยึดแคนาดาให้เป็นรัฐที่51 ยึดคลองปานามา และต่อไปจะสร้างอิทธิพลให้เพิ่มขึ้นในเม็กซิโก อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ส่วนยุโรปก็ปล่อยให้พังไปก่อน แล้วค่อยหาทางกลับไปสร้างอิทธิพลในภายหลัง
จีนกับรัสเซียค่อยๆรุกคืบจนประสบความสำเร็จในการได้รับชัยชนะทางยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยูเรเซีย บริกส์ โครงการสายไหมของจีน องค์การความร่วมมือ
เซี่ยงไฮ้ ที่กำลังดึงเอาพันธมิตรในซีกโลกใต้เข้ามาเสริมพลังให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการผลิต การเงินและเทคโนโลยีของจีนที่สหรัฐกำลังไล่ตามไม่ทัน
By Thanong Khanthong
IMCT News