.

ทรัมป์จะรีเซ็ตดอลล่าร์ หรือจะให้ Fed พิมพ์เงินต่อไปจนกว่าทุกอย่างจะพัง
28-4-2025
วันหนึ่งในปี 2012 ธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ค (The Federal Reserve Bank of New York) ได้เชิญโรเบิร์ต เวนเซล (Robert Wenzel) บรรณาธิการของEconomic Policy Journal และTarget Libertyให้ไปกล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารเที่ยงภายห้องliberty Room เวนเซล (1957-2021)เป็นนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิเคราะห์ทางการเงินที่มีชื่อเสียง และเป็นนักวิจารณ์เฟด หรือธนาคารกลางของสหรัฐตัวยง สิ่งที่เขาพูดในคร้ังนั้นเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดนั้นเป็นความจริง ซึ่งสะท้อนให้เราได้เห็นความผิดพลาดของนายธนาคารกลาง และผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันที่โดนัลด์ ทรัมป์กำลังเผชิญกับความตกต่ำของเศรษฐกิจสหรัฐที่เกิดจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ให้ความสนใจในการเพิ่มปริมาณเงินที่มหาศาลเพื่อสกัดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการว่างงาน โดยไม่ให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อ และการสร้างหนี้ที่ไม่มีทองคำหนุนหลัง
เป็นที่รู้กันดีว่า Fed ครอบงำวารสารเศรษฐกิจอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด เพื่อกลบเสียงวิจารณ์ที่แท้จริง แต่เวนเซลไม่เกรงใจที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจ จนทำให้เจ้าหน้าที่เฟดต้องตั้งคำถามด้านจริยธรรมกับตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่กับหน้าที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ในการดูแลนโยบายการเงิน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
เวนเซลกล่าวว่า: “ในอาคารแห่งนี้เอง ลึกลงไปในห้องนิรภัยใต้ดิน มีทองคำมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ถูกเก็บไว้ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) สำหรับรัฐบาลต่างชาติ ธนาคารกลางยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมห้องนิรภัยเหล่านี้เป็นประจำ แม้แต่เด็กนักเรียนก็สามารถเข้าชมได้
แต่ทองคำของอเมริกา กลับดูเหมือนจะถูกห้ามไม่ให้ใครแตะต้อง และไม่เคยมีการตรวจสอบอย่างจริงจังเลย นั่นไม่ดูแปลกสำหรับคุณบ้างหรือ?
ถ้าไม่อย่างอื่น อย่างน้อยที่สุด มีใครที่ Fed รู้หรือไม่ว่า ทองคำที่ฟอร์ตน็อกซ์มีคุณภาพและความบริสุทธิ์อยู่ในระดับใดกันแน่?
"โดยสรุป ผมเชื่อว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คือความล้มเหลว ผมเชื่อว่าวิธีการที่ Fed ใช้นั้นมีข้อบกพร่อง ผมเชื่อว่าเหตุผลในการมีอยู่ของ Fed — เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาและเศรษฐกิจ — ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ตั้งแต่ Fed เริ่มดำเนินการ ราคาสินค้าได้พุ่งขึ้นแล้วถึง 2,241% และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยถึง 18 ครั้ง
"ไม่มีใครใน Fed ดูเหมือนจะสนใจเกี่ยวกับทองคำที่ควรจะหนุนหลังใบรับรองทองคำในงบดุลของ Fed เลย�จักรพรรดิไม่มีเสื้อผ้าใส่ (The emperor has no clothes.)
"บ่วงกำลังรัดคอองค์กรของคุณแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ขณะนี้ต้องพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ถูกบิดเบือนของคุณให้ลอยตัวอยู่ได้ ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง หรือหากคุณหยุดพิมพ์เงิน ก็จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่อีกครั้ง ไม่มีทางออกอื่นแล้ว”
https://www.forbes.com/.../robert-wenzel-to-federal.../
เวนเซลพูดชัดเจนว่าจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เพิ่มปริมาณเงิน12,230%ตั้งแต่ก่อตั้งเฟดในปี 1913 ซึ่งทำให้มีการสร้างหนี้อย่างมากมายในระบบ และทำให้เกิดเงินเฟ้อ2,241% โดยที่ยังเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึง18คร้ัง เท่ากับว่าเฟดล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ทำให้เฟดมีทางเลือกเหลืออยู่สองทางเท่านั้น คือ
1. เฟดต้องเดินหน้าพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลเพื่อพยุงเศรษบกิจที่ถูกบิดเบือนให้ลอยตัวอยู่ได้ แต่จะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง
หรือ2. ถ้าหากเฟดหยุดพิมพ์เงิน จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจคร้ังใหญ่
พูดง่ายๆเฟดพิมพ์เงินก็พัง หยุดพิมพ์เงินก็พัง อย่างเช่นในปี 2018 ที่เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ย และพยายามหยุดพิมพ์เงิน ปรากฎว่าตลาดหุ้นร่วงรุนแรง20%ในปีนั้น และในเดือนพฤศจิกายนปี 2019 เกิดการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงในะนาคารวอลล์สตรีท ทำให้เฟดต้องกลับมาพิมพ์เงินเข้าระบบเพิ่ม
ลอว์เรนซ์ เลพพาร์ด หุ้นส่วนผู้จัดการจาก Equity Management Associates และผู้เขียนหนังสือ The Big Print: What Happened to America and How Sound Money Will Fix It กล่าวในการสัมภาษณ์ให้กับดาเนียลา คัมโบนว่า เมื่อเทียบกับยุคของเบนเบอร์นันเก้ (ประธานเฟดระหว่าง2006-2014)การแทรกแซงทางการเงินในปัจจุบันมีขนาดและความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเขาประเมินว่าคลื่นการพิมพ์เงินครั้งถัดไปอาจมีมูลค่า 7 ถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสหรัฐเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่
“แต่ละครั้งมันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เบอร์นันเก้พิมพ์เงินประมาณ 2-3 ล้านล้านเหรียญในช่วง 3-4 ปี พาวเวลล์ (ประธานเฟดคนปัจจุบัน)พิมพ์ 5 ล้านล้านเหรียญในเวลาแค่ 18 เดือน และครั้งนี้ ผมคิดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 ถึง 10 ล้านล้านเหรียญ”
เลพพาร์ดเชื่อเหมือนหลายคนที่เชื่อว่า เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ในรอบหน้า แม้ว่าไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่เมื่อถึงเวลานั้นเฟดจะไม่นั่งเดียวดาย เพราะว่าจะมีผลทำให้ธนาคารในเครือวอลล์สตรีทที่เป็นเจ้าของเฟดล้มไปด้วย ทำให้เฟดต้องกลับมาพิมพ์เงิน7 ถึง10ล้านล้านเหรียญ ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดเงินเฟ้อที่รุนแรง ประชาชนที่มีรายได้ต่ำ หรือกลางจะเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถ้าเฟดเลือกเดินทางที่อาจจะเจ็บปวดมากกว่าในระยะแรก คือการย้อนกลับไปสู่ระบบที่มีทองคำหนุนหลัง เพื่อรีเซ็ตดอลล่าร์ในคร้ังเดียว จะทำให้เจ็บทีเดียวไปเลย แต่ในระยะยาวระบบการเงินจะมีเสถียรภาพมากกว่า
“สิ่งที่ผมเรียกร้องคือการรีเซ็ตครั้งเดียว แทนที่จะต้องเจ็บปวดต่อเนื่องอีก 10 หรือ 15 ปี… อนาคตที่มีเงินที่มั่นคงย่อมดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด” เลพพาร์ดกล่าว
https://www.youtube.com/watch?v=mL0_AnBJqtc&t=1372s
จิม ริคการ์ดส์ (Jim Rickards) อดีตที่ปรึกษาทางการเงินให้กับซีไอเอได้เสนอแนวคิดว่า หากสหรัฐอเมริกาจะกลับไปใช้มาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ราคาทองคำที่ใช้ในการ “รีเซ็ต” จะต้องสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันอย่างมาก เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืด (deflation) และรองรับปริมาณเงินในระบบอย่างเหมาะสม
จากการวิเคราะห์ของเขา ริคการ์ดส์เสนอราคาทองคำหลัก 2 ระดับภายใต้สถานการณ์ที่มีการกลับไปใช้มาตรฐานทองคำ ดังนี้:
1. $10,000 ต่อออนซ์
ในหลายแหล่งข้อมูล ริคการ์ดส์โต้แย้งว่า ราคาทองคำที่ $10,000 ต่อออนซ์ จะจำเป็นต่อการหนุนหลังปริมาณเงินของสหรัฐ (โดยเฉพาะ M1 ซึ่งวัดปริมาณเงินสดและเงินฝากที่สามารถใช้จ่ายได้ทันที) ด้วยอัตราหนุนทองคำ 40% ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ธนาคารกลางสหรัฐเคยใช้ระหว่างปี 1913–1946
การคำนวณของเขาอิงจากปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐฯ ประมาณ 261.5 ล้านทรอยออนซ์ (หรือประมาณ 8,133 ตัน) ซึ่งราคา $10,000 ต่อออนซ์จะช่วยสร้างสมดุลทางการเงิน โดย หลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดหากราคาทองต่ำเกินไป (ซึ่งอาจนำไปสู่การกักเก็บทองคำ) และ หลีกเลี่ยงเงินเฟ้อหากราคาสูงเกินไป (ซึ่งอาจส่งเสริมการใช้จ่ายเกินควร)
ราคานี้ถูกเสนอในบริบทของการรีเซ็ตการเงินโลก หรือการรีบูตระบบค่าเงินนำโดยสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีการประสานงานกับเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ ด้วย
2. $27,533 ต่อออนซ์
ในการวิเคราะห์ล่าสุด ริคการ์ดส์ได้ปรับการคาดการณ์ของเขาเป็น $27,533 ต่อออนซ์ โดยอิงจาก:
ปริมาณเงิน M1 ของสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ $17.9 ล้านล้านดอลลาร์
หากต้องการหนุนหลังด้วยทองคำในอัตรา 40% จะต้องมีมูลค่าทองคำรวม $7.2 ล้านล้านดอลลาร์
เมื่อนำจำนวนนี้ไปหารกับปริมาณทองคำสำรอง 261.5 ล้านทรอยออนซ์ จะได้ราคาทองคำอยู่ที่ $27,533 ต่อออนซ์
https://finance.yahoo.com/.../investing-guru-james...
โดนัลด์ ทรัมป์รู้ดีว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะสร้างหนี้เพื่อบริโภคแบบนี้ไปได้อีกไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขาดดุลการค้า และการขาดดุลงบประมาณที่ดูไม่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดพันะบัตร ตลาดหุ้น และเงินดอลล่าร์ในที่สุด ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถรักษาความเป็นเงินสกุลหลักของโลกได้อีกต่อไป การก่อสงครามภาษีของทรัมป์ก็เพื่อสร้างอำนาจการต่อรองในการรักษาความเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจและการเงินต่อไป โดยแผนการของทรัมป์คือ
1. ล้มโต๊ะระบบการค้าโลก เพื่อให้ทุกประเทศในโลก รวมท้ังจีนอ่อนแอลงไปสู่ระดับเดียวกัน
2. ใช้อำนาจการต่อรองที่เหนือกว่าในการเจรจาประเทศคู่ค้ารายตัว เพื่อบีบให้ได้ประโยชน์สูงสุด
3. ประเทศคู่ค้าจะได้ประโยชน์ทางภาษีที่ต่ำถ้าหากหันหลังให้ความร่วมมือทุกอย่างกับจีน หรือให้ร่วมมือกับสหรัฐในการปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจ
4. ในระหว่างทาง เฟดจะกลับมาทำคิวอีเพื่อปั๊มเศรษฐกิจสหรัฐในรอบสุดท้าย หรือทรัมป์จะรีเซ็ตดอลล่าร์ด้วยการกลับไปหาระบบมาตรฐานทองคำ หรือทรัมป์จะนำเอาสเตเบิ้ลคอยน์และเพิ่มบทบาทของเงินคริปโตในระบบการเงินสหรัฐเป็นเรื่องที่เราต้องจับตาดู
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไทยต้องวางนโยบายดีๆในการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐ โดยไม่หลงกลทรัมป์ ซึ่งเปรียบเหมือนเสือที่บาดเจ็บ แต่พยายามบลัฟฟ์จีน
ข้อตกลงใดๆที่ทำให้ไทยต้องขัดผลประโยชน์กับจีนจะเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวง
อย่างที่รู้กัน ไม่ว่าประเทศใดก็ตามที่ใช้เงินกระดาษ และการพิมพ์เงินที่ไม่เพดาน จะสร้างเครดิตที่ก้าวกระโดดที่จะนำไปสู่การล่มสลายของระบบการเงิน ระบบอัตราแลกเปลี่ยนและระบบเศรษฐกิจในที่สุด ยิ่งเตะถ่วงเวลาในการแก้ปัญหานานเท่าใด ปัญหาก็จะมีขนาดใหญ่โตมากขึ้นทวีคูณจนสามารถทำลายระบบการเงินโลกได้
By Thanong Khanthong
28/4/2025