.

จักรพรรดิทรัมป์ล้อนจ้อน (The Emperor has no clothes)
จักรพรรดิล้อนจ้อนเป็นนิทานของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับจักรพรรดิที่หลงตัวเองและรักการแต่งกายงดงาม มิจฉาชีพสองคนแสร้งเป็นช่างทอผ้า อ้างว่าสามารถทอผ้ามหัศจรรย์ที่มองไม่เห็นสำหรับผู้ที่โง่เขลาหรือไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง จักรพรรดิอยากแสดงความเลิศเลอ จึงสั่งตัดชุดจากผ้านี้
มิจฉาชีพแกล้งทอผ้า และถึงแม้ไม่มีใคร—รวมถึงจักรพรรดิ ขุนนาง หรือที่ปรึกษา—มองเห็นผ้า พวกเขาก็แสร้งชื่นชมเพราะกลัวถูกตราหน้าว่าโง่ จักรพรรดิเดินขบวนในเมืองด้วย "ชุดใหม่" ที่ล้อนจ้อน และฝูงชนที่กลัวจะยอมรับว่าไม่เห็นอะไร ก็สรรเสริญชุดที่มองไม่เห็น จนกระทั่งเด็กคนหนึ่งที่ไร้เดียงสาและไม่กลัว ตะโกนว่า "จักรพรรดิไม่มีเสื้อผ้า!"
คำนี้ทำลายภาพลวงตา และชาวเมืองตระหนักว่าจักรพรรดิเปลือยกาย อายแต่ถอยไม่ได้ จักรพรรดิเดินขบวนต่อไปในสภาพเปลือย
นิทานคลาสสิคของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซนสอดคล้องกับสถานภาพของจักรพรรดิโดนัลด์ ทรัมป์ในเวลานี้พอดี ที่อวดอ้างอำนาจความยิ่งใหญ่ของอเมริกาและอำนาจของตัวเองประดุจดั่งจูเลียส ซีซ่าร์ในการก่อสงครามภาษีแบบบ้าเลือดกับทุกประเทศทั่วโลก โดยคิดว่าผู้นำของประเทศต่างๆจะเดินทางเข้ามาจูบก้นเขาในทำเนียบขาวเพื่อขอเจรจาประนีประนอมลดกำแพงภาษี เพราะว่าไม่มีประเทศใดอยู่ได้โดยปราศจากตลาดผู้บริโภคชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักรพรรดิทรัมป์หลงผิดคิดว่ากำแพงภาษีศุลกากรจะช่วยลดการขาดดุลการค้ามโหฬารและช่วยเพิ่มรายได้ภาษีรายได้ให้รัฐบาล และจะเป็นเครื่องมือในการปิดล้อมจีนทางด้านการค้าและเศรษฐกิจ โดยทรัมป์จะบีบประเทศต่างๆให้ลดการค้ากับจีน เพื่อแลกกับการไม่เก็บภาษีของทรัมป์
แต่จักรพรรดิทรัมป์ลืมไปว่า ในท้องพระคลังของตนเองไม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ มีแต่หนี้สินกองพะเนิน ภายในอาณาจักรอเมริกาไม่มีมีการผลิต ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆเป็นส่วนใหญ่เพื่อการบริโภค ที่ผ่านมาอยู่ได้เพราะการปั๊มเงินดอลล่าร์กระดาษออกมาใช้จ่ายเอง ส่งออกดอลล่าร์กระดาษด้วยความเพลิดเพลิน และสร้างฟองสบู่หนี้ (credit bubbles)ที่ไม่มีวันชำระคืนได้ หลังจากประกาศมาตรการภาษีมหาโหด ผลกระทบย้อนกลับเข้าหาอเมริกาเอง ทำให้บัลลังก์ของทรัมป์สั่นสะเทือนในเวลานี้ เพราะว่าตลาดบอนด์ ตลาดหุ้น และเงินดอลล่าร์ที่เป็นกล่องดวงใจของระบบการเงินโลกในปัจจุบันถูกเทขายพร้อมๆกัน ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในขณะที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งในทางกลับกันสะท้อนว่าดอลล่าร์ตกต่ำเป็นประวัติการณ์
นโยบายกำแพงภาษีของจักรพรรดิทรัมป์ได้ทำลายเศรษฐกิจ และระบบการเงินของสหรัฐ เพราะว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) ในขณะที่ตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะหมี (bear market) ทำให้รายได้จากการเก็บภาษีจะลดลง ในขณะที่ไม่สามารถลดการขาดดุลงบประมาณแผ่นดินได้ ที่สำคัญ กำแพงภาษีตัดขาดธุรกิจ หรือการผลิตของสหรัฐออกจากระบบซับไพลเชนของโลก ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน นอกจากนี้ จักรพรรดิทรัมป์ต้องการให้เจโรม พาวแวลล์ ประธานเฟดลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดต้นทุนการกู้ยืมเงิน รวมท้ังภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลที่ต้องรีไฟแนนซ์หนี้ที่ครบอายุชำระคืน$9ล้านล้านในปีนี้ จากหนี้ท้ังหมดเกือบ$37ล้านล้าน ถ้าพาวแวลล์ไม่ทำตามคำสั่ง จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง มีผลทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก เพราะไม่รุ้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนโยบายการเงินของสหรัฐ
ไปๆมาๆ เสนาบดีกระทรวงคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ต้องเป็นคนเตือนจักรพรริดทรัมป์ว่า ถ้าหากตั้งกำแพงภาษีศุลกากรระดับที่สูงเทียมฟ้าแบบนี้ หรือถ้าคิดจะปลดพาวแวลล์ออกจากตำแหน่งประธานเฟด ความฉิบหายจะมาเยือนเศรษฐกิจสหรัฐ และระบบการเงินดอลล่าร์ที่ง่อนแง่นอยู่แล้วจะอยู่ไม่ได้ ความเชื่อมั่นในอาณาจักรอเมริกาจะหายไปสิ้น สถานการณ์ไม่เหมือนกับช่วงหลังสงครามดลกคร้ังที่สอง ที่สหรัฐก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียว ด้วยขนาดเศรษฐกิจและระบบการผลิตอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้ แต่ในเวลานี้ จีนกำลังพัฒนา และมีอัตราการเจริญเติบโต รวมท้ังความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่เหนือกว่าสหรัฐเกือบทุกด้าน ทำให้สหรัฐไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกอีกต่อไป
สหรัฐพึ่งพาโลกมากกว่าโลกพึ่งพาสหรัฐ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเทียบเท่าเพียง20%ของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าดอลล่าร์จะมีสัดส่วนมากถึง90%ของธุรกรรมทางการเงินของโลก และ58%ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลกก็ตาม ความจริงแล้ว ต่างชาติถือครองทรัพย์สินในรูปดอลล่าร์ในสหรัฐไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หรือเอกชน หุ้น ฯลฯ รวมกันประมาณ$39ล้านล้าน ถ้าหากเห็นท่าไม่ดีจากนโยบายของจักรพรรดิทรัมป์ที่จะทำให้ฟองสบู่การเงินของสหรัฐแตก ต่างชาติอาจจะถอนเงินออกจากการลงทุนในสหรัฐ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุน capital flightอย่างรวดเร็ว ดอลล่าร์จะดิ่งเหว ตลาดการเงินตลาดทุนจะเละ และเศรษฐกิจสหรัฐจะประสบกับความหายนะที่ไม่รู้ว่าจะกู้คืนอย่างไร
ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิทรัมป์ต้องรีบเปลี่ยนท่าทีจนดูเป๋ไปหมด โดยออกมาบอกว่าจะยอมลดภาษีให้จีน ถ้ามีการพูดคุยกันดีๆเพื่อประนีประนอม อัตราภาษีจะลดลงไปมาก แต่จะไม่ลงไปถึงศูนย์ ส่วนเจโรม พาวแวลล์ก็ขอให้ทำหน้าที่ประธานเฟดต่อไป เพียงแต่ขอให้พิจารณาการลดดอกเบี้ยให้เร็ววันยิ่งขึ้น
ตลอดระยะเวลาส่วนใหญ่ของสงครามภาษีที่จักรพรรดิทรัมป์ประกาศนับตั้งแต่วันที่ 2เมษายน ผู้นำของประเทศต่างๆ รวมท้ังสารขัณฑ์ประเทศต่างหัวหดตดหาย เพราะย่ำเกรงในบารมีของจักรพรรดิ์ทรัมป์ และกลัวว่าจะขาดรายได้ดอลล่าร์กระดาษแม้ว่าดอลล่าร์กระดาษจะใกล้เป็นเงินกงเต๊กเข้าไปทุกที ผู้นำเกือบทุกคนยอมยืนดูจักรพรรดิทรัมป์เดินส่ายไปมา โดยไม่สวมเสื้อผ้า พร้อมชื่นชมอาภรณ์ที่งดงามของจักรพรรดิทรัมป์ ส่วนทรัมป์รู้ตัวเองว่าเดินล้อนจ้อนอยู่ แต่กลัวจะถูกกล่าวหาว่าโง่ จึงแต่งตัวโป๊ออกทีวีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทันใดนั้น สี จิ้นผิงเป็นคนเดียวที่กล้าออกมาชี้ว่า จักรพรรดิทรัมป์ไม่มีเสื้อผ้า!! ภาพลวงตาของทุกคนหายไปหมด แต่จักรพรรดิทรัมป์ได้ยินแล้วรู้สึกตกใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องทนแก้ผ้าล้อนจ้อนเดินนำหน้าขบวนแห่ต่อไป
By Thanong Khanthong
25/4/2025