โลกกำลังก้าวสู่สองระบบการเงินคู่ขนาน

“โลกกำลังก้าวสู่สองระบบการเงินคู่ขนาน ‘NDB-BRICS’ กับ ระบบดอลลาร์ตะวันตก”
1-8-2025
Sputnik รายงานว่า นายเซอร์เกย์ สตอร์ชัค (Sergei Storchak) อดีตรัฐมนตรีช่วยคลังรัสเซีย และผู้ก่อตั้ง New Development Bank (NDB) ในเครือ BRICS ได้ให้สัมภาษณ์สำคัญกับนิตยสาร The Expert ถึงภาวะเปลี่ยนผ่านของระบบการเงินโลกในวาระ 10 ปีของการก่อตั้ง NDB โดยประเมินว่า โลกกำลังจะเข้าสู่ยุค “สองระบบการเงินขนาดใหญ่” ที่ขนานและอาจแข่งขันกันเองในอนาคตอันใกล้
NDB หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งใหม่ ก่อตั้งโดยห้าชาติสมาชิก BRICS ได้แก่ บราซิล (Brazil), รัสเซีย (Russia), อินเดีย (India), จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ โดยมีนางดิลมา รูสเซฟ (Dilma Roussef) อดีตประธานาธิบดีบราซิลเป็นประธานกรรมการบริหารในปัจจุบัน จุดเด่นของ NDB ถูกสื่อว่าเป็นสถาบันทางเลือกจริงจังต่อโครงสร้างการเงินโลกยุคหลังสงครามโลกที่นำโดยฝ่ายตะวันตก คือ International Monetary Fund (IMF) กับ International Bank for Reconstruction and Development (IBRD)
นายสตอร์ชัคในฐานะหนึ่งในผู้ก่อกำเนิด NDB ที่เป็นหัวหน้าคณะรัสเซียตั้งแต่เริ่มตั้งออกตัวชัดว่า “ไม่ใช่หลักคิดหาเสียงหรือโลโก้ต่อต้าน” แต่เป็นการวิเคราะห์ภาคสนาม ว่าโลกขณะนี้มีธนาคารเพื่อการพัฒนาราว 30 แห่ง แต่มีเพียง 10 แห่งที่ทำงานในระดับโลก NDB ไม่ได้แย่งชิงตำแหน่งสูงสุดใน 10 ปีแรก แต่แค่สามารถเข้าร่วม G20 และขยายฐานผู้ถือหุ้นก็ถือว่าก้าวหน้าเกินคาด
เขามองว่า ในอนาคต “G20 อาจอยู่รอดได้ไม่นาน” โดยเก้าอี้ประธาน G20 หมุนถึงสหรัฐฯ ขณะที่วอชิงตันเลือกถอนตัวจากหลายองค์กรสหประชาชาติทั้ง World Health Organization (WHO), UNESCO และอื่นๆ ส่งสัญญาณระบบระหว่างประเทศที่เคยมั่นคงจะสั่นสะเทือนอีกระลอก
**Storchak ชี้ว่าระบบการเงินโลกจะค่อยๆ แตกออกเป็นสองขั้ว** กลุ่มตะวันตก และ “กลุ่มอื่น” ซึ่งกำลังสร้างโครงข่ายสำรองของตนเอง NDB เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้น ระบบใหม่นี้ยังต้องใช้เวลาอีกมากในการลงรากลึก ทั้งนี้เพราะระบบเดิมมีข้อจำกัดตั้งแต่เรื่องปริมาณเงินทุนที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการในโลกจริง ระบบตะวันตกยังไม่สามารถหาเงินสนับสนุนเป้าหมายที่ตนเองเสนอได้ด้วยซ้ำ เช่น กรณี COP29 ที่กล่าวจะช่วยทุน climate change 300,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี สุดท้ายกลับผิดนัดคำมั่น 100,000 ล้านต่อปีในสิบปีที่แล้ว
อีกประเด็นคือ “การแบ่งแยกบทบาท” ระหว่างธนาคารพาณิชย์ปกติ กับ “ธนาคารเพื่อการพัฒนา” ซึ่งให้สินเชื่อเพื่อตัวชี้วัดเชิงโครงสร้าง เช่น การสร้างสายไฟ งานจ้างงาน จน World Bank เพิ่งปรับเกณฑ์ใหม่เมื่อปีที่แล้ว
โดยรวม National Development Bank ในประเทศกำลังพัฒนา (และในกลุ่ม BRICS/Global South) ลงเงินลงทุนต่อปี “มากกว่าโครงสร้างตะวันตกเก่าถึงเท่าตัว” สะท้อนการเปลี่ยนบาลานซ์อำนาจสินเชื่อเชิงพัฒนา
Storchak เตือนว่าเมื่อถึงจุดเปลี่ยนต้องขยับให้เร็ว ทว่าระบบเดิมเลือกหยุดนิ่ง ผลคือแนวคิด “สร้างระบบทางเลือก” ค่อย ๆ งอกขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างของ NDB เป็นเพียงการทดสอบภาคสนาม แต่กำลังเป็นรูปธรรม
คำถามใหญ่กลายเป็น “เงินคืออะไร และอนาคตของเงินเป็นอย่างไร?” ทฤษฎีเรื่องเงินสกุลเดียวเพื่อโลกดูดี แต่เมื่อปฏิบัติจริงกลับไม่มีใครกล้าใช้ดอลลาร์หรือยูโรในฐานะเงินกลางเพราะกังวลความเสี่ยงทางการเมือง โจทย์ปัจจุบันจึงเป็นการทดลองด้วยธุรกรรมระหว่างประเทศในเงินสกุลท้องถิ่น แม้ระบบจะซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
ภาพรวมจุดเปลี่ยนนี้สื่อถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่เกลียดการรวมศูนย์ เกลียดการครอบงำ คนอยากมีทางเลือกชาติและกลุ่มประเทศต้องการเลือก วิศวกรกลุ่มหนึ่งอาจมองว่ามาตรฐานเดียวกัน ทุนเดียวกัน ทางเทคนิคมีเหตุผล แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็จะบอกว่าระบบโลกเดียวใหญ่สุดจะมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ประสบการณ์มนุษย์ทั้งทางเศรษฐกิจ-สังคมกลับต้านทานธรรมชาติการรวมศูนย์และอำนาจเดี่ยวเสมอ
บทเรียนนี้ตรงกับที่ศาสตราจารย์ Lebedev จาก Moscow Financial Institute วิเคราะห์ปรากฏการณ์ล่มสลายของแนวคิด “Collective West” ว่าเมื่อกติกากลาง-อุดมการณ์เดียวแข็งแรงเกินไป วงในเตะตัดขา-แยกขั้วยุค Nasser ในโลกอาหรับก็จบไม่ต่างกัน ทุกนวัตกรรมใหม่ในกลุ่ม BRICS หรือขั้ว Global South จึงหลีกเลี่ยง “ข้อบังคับอุดมการณ์เดียว” แต่หันมาเน้นความหลากหลายและเคารพซึ่งกันและกันแทน
สุดท้ายโจทย์ใหญ่จากประสบการณ์ของ NDB และระบบทางเลือกใหม่คือ โลกอนาคตจะยอมรับ “สองระบบการเงินขนาน” หรือมากกว่านั้นในยุคสังคมพหุนิยม? นักเทคนิคอาจบอกว่าต้องมีมาตรฐานเดียว แต่สัญชาตญาณมนุษย์และความต้องการทางเลือกดูจะเป็นแรงขับกำหนดทิศสายหลักของโลกการเงินในศตวรรษนี้
---
IMCT NEWS
ที่มา https://sputniknews.in/20250730/two-global-financial-systems-yes-it-comes-to-that--9519745.html