.

ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นอีกครั้ง ดึงดูดความสนใจจากนานาชาติ
29-7-2025
จีนกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และยังคงสนับสนุนการเจรจาเพื่อสันติภาพ แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบในฐานะมหาอำนาจที่มีบทบาทสำคัญ
ไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับจีน และเป็นสมาชิกสำคัญของอาเซียน ความมั่นคงในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศมีความสำคัญต่อสันติภาพของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดล่าสุดบริเวณชายแดนได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และการปิดพรมแดนส่งผลกระทบต่อการค้าและชีวิตประจำวันของประชาชนทั้งสองฝั่ง
เสียงปืนใหญ่ที่ดังขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเครื่องเตือนใจถึงภาระทางประวัติศาสตร์ที่หลายประเทศในเอเชียยังคงแบกรับอยู่ ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียมีจำนวนน้อยมากที่ปลอดจากข้อพิพาทเรื่องดินแดนหรือทะเล ซึ่งส่วนใหญ่มีรากเหง้ามาจากการรุกรานและการแบ่งแยกในยุคล่าอาณานิคม ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาก็สามารถย้อนกลับไปยังยุคขยายอำนาจของฝรั่งเศส และหลายประเด็นทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข
สิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือ สื่อบางสำนักของสหรัฐฯ พยายามตีกรอบความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “การแข่งขันระหว่างจีน-สหรัฐฯ” เช่น CNN รายงานว่าไทยเป็น “พันธมิตรสหรัฐฯ ที่มีอาวุธครบมือ” และระบุกัมพูชาเป็น “ฝ่ายตรงข้ามที่อ่อนแอกว่าแต่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับจีน” ซึ่งเป็นการจงใจเน้นย้ำความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
การนำเสนอข่าวลักษณะเช่นนี้ ละเลยรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของข้อพิพาท และกล่าวถึงบริบทอาณานิคมเพียงผ่าน ๆ ขณะเดียวกันกลับให้ความสำคัญกับการเปรียบเทียบกำลังทางทหารอย่างเกินความเหมาะสม การรายงานเช่นนี้มีความเสี่ยงในการลดทอนประเด็นที่ซับซ้อนให้เหลือเพียงแค่ “สงครามตัวแทน” ระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งอาจยิ่งซ้ำเติมความขัดแย้งในภูมิภาค
การรายงานข่าวของสื่อสหรัฐฯ ที่ขับเคลื่อนด้วยวาระซ่อนเร้น มีเป้าหมายหลักเพื่อเรียกยอดคลิกและเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม แต่กลับบิดเบือนความเข้าใจของประชาคมโลกต่อความขัดแย้งอย่างร้ายแรง
เราต้องตระหนักถึงแนวโน้มของการทำให้ความขัดแย้งในระดับภูมิภาคกลายเป็นการเผชิญหน้าทางอุดมการณ์ระดับโลก และต้องยืนหยัดคัดค้านการแทรกแซงของมหาอำนาจภายนอกที่ฉวยโอกาสใช้ประเด็นเหล่านี้เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของเอเชีย
สำหรับประเทศในเอเชีย การแก้ไขปัญหาเขตแดนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ใหญ่กว่าในการปลดแอกตนเองจากมรดกตกทอดของลัทธิล่าอาณานิคม และกลยุทธ์ภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจในอดีต แผนที่ของเจ้าอาณานิคมไม่ควรเป็นข้อชี้ขาดสุดท้าย
จีนยึดมั่นในจุดยืนที่ยุติธรรมและเป็นกลางมาโดยตลอด โดยสนับสนุนการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี ผ่านการเจรจาและปรึกษาหารือ ซึ่งแนวทางนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง จีนสามารถแก้ไขปัญหาเขตแดนทางบกได้อย่างสันติกับ 12 จาก 14 ประเทศเพื่อนบ้าน
เขตแดนควรเป็นสะพานของความร่วมมือ ไม่ใช่แนวหน้าแห่งการเผชิญหน้า ตราบใดที่ความขัดแย้งยังไม่ยุติ การพัฒนาควรถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ควรบริหารจัดการความแตกต่าง และป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดลุกลามจนกระทบต่อความสัมพันธ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะชีวิต ความเป็นอยู่และความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประชาชน
การแก้ไขความขัดแย้งควรผสานเข้ากับการพัฒนาภูมิภาค แทนที่การเผชิญหน้าด้วยความร่วมมือ
ประวัติศาสตร์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่อนาคตสามารถกำหนดใหม่ได้ ประเทศในเอเชียต้องร่วมกันก้าวออกจากเงามืดของลัทธิล่าอาณานิคม และใช้ภูมิปัญญาแบบเอเชียในการแก้ไขปัญหาของเอเชีย โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอกและการบิดเบือนของสื่อ
เราต้องก้าวข้ามความคิดแบบได้เสียฝ่ายเดียว (zero-sum) และเลือกเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพ การพัฒนา ความร่วมมือ และผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะมีเพียงผ่านความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและการเสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันเท่านั้น ที่ภาระของข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยจะสามารถผ่อนคลายลงได้
สิ่งเหล่านี้จะเปิดทางสู่ โครงสร้างความมั่นคงระดับภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพ และในท้ายที่สุด การเจรจาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนของภูมิภาคเอเชีย
ที่มา บทบรรณาธิการของ The Global Times
https://www.globaltimes.cn/page/202507/1339413.shtml?id=12