.

สหรัฐฯ ติดตั้ง ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก 'Dark Eagle' ในออสเตรเลีย จุดชนวนแข่งขีปนาวุธภูมิภาค–จีนเตรียมเสริมระบบรับมือ
7-8-2025
Asia Times รายงานว่า การปรากฏตัวของระบบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก Dark Eagle ของสหรัฐฯ ที่ถูกนำไปติดตั้งและทดสอบจริงในการฝึก Talisman Sabre 2025 ณ Northern Territory ของออสเตรเลีย ได้เปลี่ยนโฉมดุลยภาพการยับยั้งไว้ซึ่งความมั่นคง (deterrence dynamics) ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกอย่างมีนัยสำคัญ
Dark Eagle เป็นระบบยิงเคลื่อนที่ (battery) ที่ประกอบด้วยรถยิงสี่คันและศูนย์ควบคุม สามารถโจมตีเป้าหมายแม่นยำด้วยความเร็วเหนือเสียงสูงสุดเป็นระยะทางถึง 2,700 กิโลเมตร ถือเป็นการประจำการจริงนอกสหรัฐฯ ครั้งแรก (ฝั่งตะวันตกของเส้นวันที่) โดยหน่วย 3rd Multi-Domain Task Force (MDTF) จากฮาวาย เพิ่มความสามารถในการโจมตีและขยายขอบเขตการยับยั้งอย่างเป็นรูปธรรม โจทย์หลักในการฝึกคือการเคลื่อนย้าย ประจำการ และปฏิบัติงานในสภาวะแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์จริงโดยไม่ขึ้นกับฐานทัพถาวร
ในระหว่างการฝึก MDTF ยังยิง SM-6 จากแพลตฟอร์ม Mid-Range Capability (MRC) เจาะเป้าเรือรบกลางทะเล สร้างข้อกังวลเชิงยุทธศาสตร์ให้กับจีนและจุดชนวนให้ปักกิ่งประท้วงว่าการเสริมศักยภาพโจมตีไกลของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่ภาวะแข่งสะสมอาวุธรอบใหม่ในเอเชียแปซิฟิก
ยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ในการติดตั้งขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกถูกออกแบบให้ “กระจายจุดยิง” ใช้เทคนิค shoot-and-scoot ด้วยระบบล้อยางที่เคลื่อนที่เร็ว ลดความเสี่ยงโดนถล่มก่อนยิง สร้างความยืดหยุ่นทั้งในสนามรบจริงและในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ พลังของ MDTF ยังอยู่ที่การบูรณาการข้ามมิติทั้งบก-ทะเล-อากาศ-อวกาศ-ไซเบอร์ รองรับการปฏิบัติการเชิงซ้อนกับมิตรประเทศทั่วภูมิภาค ทั้งญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ กวม และปาเลา
Admiral Samuel Paparo ผู้บัญชาการ US INDOPACOM ย้ำว่าการกระจายระบบเตือนภัย-สั่งการ-โจมตีแม่นยำในชายฝั่งพันธมิตร คือหัวใจของการสกัดคู่แข่งไม่ให้บรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ สร้างกระดูกสันหลังของระบบยับยั้งที่ “ยืดหยุ่น กระจายตัว เชื่อมประสาน” ทั่วแนวป้องกันหมู่เกาะ
**ความเสี่ยงและข้อกังขาต่อขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก**
ขณะเดียวกัน นักวิจัยด้านยุทธศาสตร์ เช่น Aaron Shiffler เตือนว่าขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกอาจกระชับเวลาในการตัดสินใจ—เพิ่มโอกาสผิดพลาด เพราะความเร็วสูงและยากต่อการแจ้งเตือนล่วงหน้า อีกทั้งเทคโนโลยีนี้อาจบั่นทอนหลักสมดุลความหวาดกลัวนิวเคลียร์ (mutual vulnerability) นำไปสู่วิกฤติเชิงนิวเคลียร์ที่นิยามใหม่ ขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าด้านอาวุธเช่นนี้หากไร้กรอบควบคุมความแพร่หลาย อาจสร้างภาวะอาวุธยุทโธปกรณ์ระดับภูมิภาคที่เปราะบาง
กลุ่มนักวิจัยที่สงวนท่าที อาทิ David Wright และ Cameron Tracy ยังมองว่า ข้อจำกัดทางเทคนิคของขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกในทางปฏิบัติอาจมากกว่าที่ฝ่ายการเมืองกล่าวอ้าง เช่น ปัญหาความร้อนสูง-แรงต้านอากาศ ความยุ่งยากในการเพิ่มระยะยิงที่แท้จริง และการที่ระบบจุดยิงเคลื่อนที่ยังทิ้งร่องรอยอินฟราเรดเข้ม (ตรวจจับได้) Shawn Rostker ก็ตั้งคำถามว่าการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่อาจเป็นแค่ “สมมาตรภาพลักษณ์” มากกว่าส่งผลมหาศาลในสนามรบจริง
**จีนตอบสนองและพลวัตด้านยุทธศาสตร์**
รายงานของ IISS ช่วงต้นปี 2024 ระบุว่าจีนถือว่าการกระจายระบบขีปนาวุธไกลของสหรัฐฯ ทั่วแนวหมู่เกาะแรกและสอง (First/Second Island Chains) เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อศักยภาพตอบโต้และระบบป้องกันตนเอง ทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาและขยายระบบขีปนาวุธทางบกทั้งนิวเคลียร์และทั่วไป โดยเน้นความอยู่รอดและตอบโต้ แม้ในภาวะถูกถล่มก่อน (preemptive/decapitation strike) รายงาน AEI ปี 2025 ยืนยันว่า นักยุทธศาสตร์จีนมองการติดตั้งขีปนาวุธทันสมัยของสหรัฐฯ ใกล้อาณาเขตเป็น “ภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของชาติ” เร่งแข่งขันสะสม-กระจายจุดยิงและเสริมระบบเอาตัวรอดของกองกำลังจรวด (PLARF) เพื่อรักษาศักยภาพยับยั้ง-ตอบโต้ทุกสถานการณ์
บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์ การหยั่งเชิงด้วยขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่เคลื่อนไหวได้เร็วและยิงไกลซึ่งสหรัฐฯ กำลังเร่งทดลองและประจำการในอินโด-แปซิฟิก ส่งผลต่อสมดุลค่ายยุทธศาสตร์-บังคับให้จีน (และรัสเซีย) ต้องเร่งตอบโต้ทั้งด้านเทคโนโลยีและแนวคิดยุทธศาสตร์ พลวัตนี้ก่อให้เกิดเกมที่วัดกันด้วยความแม่นยำ ระบบเอาตัวรอด การกระจายจุดยิง, และ “เจตจำนงทางการเมือง” ในสภาพของการเผชิญหน้าที่เปลี่ยนจากสมดุลนิ่งไปสู่การแข่งขันไฮเปอร์โมเดิร์น
ขณะที่ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าความได้เปรียบเช่นนี้จะเสริมเขี้ยวเล็บยับยั้งและควบคุมคู่แข่ง อีกฝ่ายก็ห่วงว่าอาจเปิดเกมวิ่งแข่งอาวุธยุคใหม่โดยไร้กลไกความมั่นคงและตรวจสอบ ทั้งหมดนี้ จึงเปลี่ยนสมการความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกในระดับรากฐานและระยะยาว
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/08/dark-eagle-us-hypersonic-deployment-has-china-squawking/
Image: X Screengrab