ชื่อคอลัมน์ : Global Media & Communication
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรัชญ์ ครุจิต คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
-------------------------------
ซีรีส์: Global Media & Communication จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
ตอนที่ 1: Modernization: ยิ่งมีสื่อมาก ยิ่งเจริญ?
หากจะกล่าวถึงต้นกำเนิดของสื่อและการสื่อสารระดับโลก ที่ข้ามพรมแดนกันอย่างไม่มีข้อจำกัดในวันนี้ ต้องย้อนกลับไปถึงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่หลังจากนั้น โลกก็ก้าวเข้าสู่ยุคที่เรียกกันว่า “สงครามเย็น” (Cold War) โดยแบ่งข้างเป็นประเทศ “โลกที่หนึ่ง” (First World) ที่เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และดำเนินเศรษฐกิจแบบทุนนิยม โดยมีผู้นำคือสหรัฐอเมริกา ที่กำลังฮึกเหิม สุดขีดจากชัยชนะในสงคราม และประเทศในซีกโลกตะวันตก ที่แม้จะมีความเจริญก้าวหน้ามาก่อน แต่ก็บอบช้ำกับสงครามครั้งนี้อย่างมาก ส่วนอีกข้างหนึ่งคือประเทศ “โลกที่สอง” ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพโซเวียต (ชื่อในขณะนั้น) รวมไปถึงประเทศจีน และประเทศในยุโรปตะวันออกอื่นๆ
ส่วนประเทศที่เหลือนั้น ส่วนมากเป็นประเทศขนาดกลางและเล็ก ถูกเรียกรวมกันว่า เป็นประเทศ “โลกที่สาม” นั่นคือเป็นประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (non-aligned nations) และหลายประเทศได้รับเอกราชหลังสงครามสิ้นสุด เป็นประเทศที่อยู่ในขั้นของการพัฒนา จึงถูกเรียกอีกอย่างว่า “ประเทศกำลังพัฒนา” (developing countries) ซึ่งเกือบทั้งหมด อยู่ในซีกโลกทางใต้ (บางครั้งจึงเรียกว่า Global South) เช่นประเทศในอเมริกากลางและใต้ เอเชียใต้ แอฟริกา และอาเซียน
แม้ว่าประเทศโลกที่สามจะมีกำลังทางเศรษฐกิจด้อยกว่า หรือบางประเทศถึงกับยากจนข้นแค้นอย่างหนัก แต่มีจำนวนประเทศและประชากรมากกว่าทั้งสองกลุ่มรวมกัน จึงเป็นที่หมายตาของทั้งประเทศโลกที่หนึ่งและโลกที่สอง ในการสร้างความสัมพันธ์ (ที่ปฏิเสธไม่ได้) เพื่อผลประโยชน์และความมั่นคง และแน่นอน คือเรื่อง “ทรัพยากร” ที่ประเทศโลกที่สามยังมีอยู่อย่างล้นเหลือ แม้ว่าจะเคยถูกยึดครองจากประเทศเจ้าอาณานิคมเป็นเวลานานก็ตาม
มาถึงตรงนี้ จึงเกิดความพยายามในการเข้าไปสร้างอิทธิพลในประเทศโลกที่สามอย่างถูกกฎหมายและสวยหรู ผ่านรูปแบบของความช่วยเหลือต่างๆ จากองค์กรนานาชาติที่ตั้งขึ้นใหม่ในยุคนั้น ทั้งในรูปแบบของเงินกู้ เงินให้เปล่า การก่อตั้งมูลนิธิ สถาบันการศึกษา ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นา ๆ โดยมีความเชื่อกันว่า ประเทศโลกที่สามเหล่านี้ จะพัฒนาขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด เมื่อไม่ต้องไป “ส่งส่วย” ให้กับประเทศเจ้าอาณานิคมแล้ว เพราะมีทั้งแรงงาน และทรัพยากรมากมาย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นสิบปี จนถึงปลายยุค 1950s ก็ดูเหมือนว่า ประเทศโลกที่สามจำนวนมาก ยังไม่ได้เกิดการพัฒนา หรือกลายเป็นประเทศ “ศิวิไลซ์” อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ไว้ จึงเกิดคำถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น” และ “จะต้องทำอย่างไร” ?
ในตอนนี้เอง พระเอกขี่ม้าขาวในเรื่องของเรา ก็คือ “การสื่อสารระดับโลก” ก็ได้เริ่มเข้ามามีบทบาท ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศาสตร์ของการสื่อสารได้เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง แยกออกมาเป็นศาสตร์ต่างหากของตัวเอง ที่มีการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัย มีการทำวิจัย มีภาควิชา คณะ และอาชีพเฉพาะทาง ซึ่งส่วนสำคัญก็มาจากอิทธิพลการใช้การสื่อสาร หรือ “โฆษณาชวนเชื่อ” ในสงครามโลกครั้งที่สอง เริ่มเกิดนักคิด นักวิชาการ และงานวิจัยที่มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ และถ้ากวาดสายตาดูแล้ว ก็จะเห็นว่ามาจากประเทศอเมริกาเกือบทั้งสิ้น โดยมีหลายสาขาที่สำคัญในยุคเริ่มต้น เช่น การสื่อสารมวลชน (mass communication) วารสารศาสตร์ (journalism) วิทยุและโทรทัศน์ (broadcasting) ประชาสัมพันธ์ (public relations) โฆษณา (advertising) สื่อสารการเมือง (political communication) และ การสื่อสารเพื่อการพัฒนา (development communication) ซึ่งนักวิชาการในสาขาหลังสุดนี้เอง ที่เป็นผู้ที่ทำวิจัย เขียนบทความ หนังสือต่างๆ ที่ผลักดันแนวคิดที่เป็นทางออกของปัญหาที่โลกที่สามไม่เจริญเสียทีทั้ง ๆ ที่มีพร้อมทุกอย่าง
คำตอบนั้นคือ จากการศึกษา (หลายกรณีศึกษาก็มาจากประเทศไทยด้วย) ทำให้เชื่อได้ว่า ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ประเทศโลกที่สามพัฒนาได้เหมือนประเทศที่เจริญแล้ว ต้นเหตุคือ “ทัศนคติ ความเชื่อโบราณ” โดยเฉพาะการไม่ยอมรับวิทยาศาสตร์ แต่เชื่อสิ่งลี้ลับที่พิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของเกือบทุกประเทศในกลุ่มประเทศโลกที่สาม เช่นการบูชาเทพเจ้า พ่อมดหมอผี ทั้ง ๆ ที่วิทยาศาสตร์นั้นมีคำตอบที่ดีกว่า และคาดการณ์ได้แม่นยำ ทำให้ประชาชนไม่ใช้เหตุผลในความคิด ทำให้ไม่พัฒนาตนเอง และมีความเชื่อในโชคชะตาฟ้าลิขิต จึงไม่คิดจะหาทางแก้ไขปัญหาหรือกำหนดชีวิตตนเอง ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวรกรรม และนำไปสู่ความเกียจคร้าน สังคมจึงไม่สามารถยกระดับขึ้นไปสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรมเหมือนในโลกตะวันตก ชุมชนชนบทไม่ขยายขึ้นเป็นชุมชนเมือง จึงไม่เกิดการผลิตและบริโภคเพื่อหมุนเวียนต่อยอดทางเศรษฐกิจ
แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร คำตอบก็คือ เครื่องมือที่จะช่วยกล่อมเกลา สร้างการเรียนรู้ และเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนในโลกที่สามได้ดีที่สุด นั่นก็คือ “สื่อมวลชน” โดยเฉพาะสื่อมวลชน ที่นำเสนอวิถีชีวิตที่ทันสมัย ทำให้มีคุณภาพชีวิตดีกว่าเดิม ให้ความรู้ที่พัฒนาสติปัญญาได้มากขึ้น หรือพูดง่ายๆว่า ก็คือสื่อจากประเทศตะวันตกนั่นเอง
แนวความคิดนี้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่เรียกว่า “Modernization Theory” หรือ “ทฤษฎีการสร้างความทันสมัย” ซึ่งสามารถสรุปย่อ ๆ ได้ว่า ยิ่งประเทศโลกที่สามประเทศใด มีสื่อมวลชนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเจริญมากขึ้นเท่านั้น หรือย่อให้สั้นลงอีกก็คือ “สื่อ = ความเจริญ” ซึ่งใน Country Report ของ UNESCO ที่รายงานทุกปี ตัวชี้วัดความเจริญตัวหนึ่งที่สำคัญ ก็คือจำนวนสื่อมวลชนที่เพิ่มขึ้น เช่นจำนวนหนังสือพิมพ์ที่เพิ่มขึ้น แสดงถึงการมีคนรู้หนังสือมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องเร่งขยายและก่อตั้งองค์กรสื่อมวลชนขึ้นให้มากที่สุดในทุกช่องทาง ทั้งหนังสือ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และอื่น ๆ หากไม่มีความพร้อม ก็สมควรได้รับการสนับสนุนทั้งการเงิน และด้านเทคนิค ด้านบุคลากร ด้าน know-how อื่น ๆ และหากไม่สามารถผลิตเนื้อหาได้เอง ก็สมควรได้รับการสนับสนุนในการ “นำเข้า” เนื้อหา ข้อมูล ข่าวสาร ความบันเทิง ต่าง ๆ จากนอกประเทศ (ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คือโลกตะวันตกนั่นเอง)
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการและความช่วยเหลือทางสื่อสารมวลชนนี้เป็นไปได้อย่างสะดวก รัฐบาลของแต่ละประเทศ จะต้องมีนโยบายที่ไม่ขัดขวาง “การไหลอย่างเสรี” (free flow) ของการสื่อสารโลก นั่นคือไม่มีการเซ็นเซอร์ ตั้งกำแพง เก็บภาษี จนประเทศตะวันตกไม่สามารถ “ส่งออก” ข้อมูลข่าวสารและรายการความบันเทิงไปสู่โลกที่สามได้
แนวคิดนี้ ได้รับการตอบรับอย่างอ้าแขนกว้าง (welcome with open arms) จากองค์การสหประชาชาติ จนประกาศให้ทศวรรษที่ 1960s เป็น “ทศวรรษแห่งการพัฒนา” (The Decade of Development) โดยมีความพยายามต่าง ๆ มุ่งไปที่การ “ติดตั้ง” ให้ประเทศโลกที่สาม มีโครงสร้างสื่อมวลชนที่ “รวดเร็ว” “ทันสมัย” และ “มีประสิทธิภาพ” มากที่สุดในการรับข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก (ซึ่งก็คือประเทศตะวันตกนั่นเอง)
Modernization Theory ดูเหมือนจะได้รับการตอบรับจากทั้งประเทศ “ผู้ส่งออก” และ “ผู้นำเข้า” เป็นอย่างดี และดูเหมือนจะเกิดการพัฒนาด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยเอง คือคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเปิดสอนภาควิชา การสื่อสารเพื่อการพัฒนา และหนึ่งในหนังสือและทฤษฎีที่นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ รู้จักกันดีก็คือ Diffusion of Innovations หรือ การแพร่กระจายนวัตกรรม ของ Everett M. Rogers ที่ยังใช้อ้างอิงกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ และตามหลักการความคิดโดยทั่วไปแล้ว Modernization Theory ก็ดูจะเป็นทฤษฎีที่ดี มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะประเทศโลกที่สาม น่าจะเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์มากที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงยุคปลาย 1960s กลับเกิดปรากฏการณ์ การ “ต่อต้าน” Modernization Theory ขึ้นจากนักคิด นักวิชาการในประเทศโลกที่สาม ที่อ้างว่า ความเจริญที่นักวิชาการตะวันตกอ้างว่า เกิดขึ้นจากการเปิดรับสื่อนั้น แท้ที่จริงแล้วแฝงไปด้วยอันตราย ที่ประเทศโลกที่สามต้องปฏิเสธ เนื่องจากสื่อในรูปแบบนี้ ไม่ใช่ความเจริญ
แต่ตรงกันข้ามมันคือ “กับดัก” ที่สร้าง ขึ้นโดยประเทศมหาอำนาจต่างหาก
--------------------