Thailand
10/04/2024
นายกฯ นำทีม แถลงแจกเงินดิจิทัล เริ่มไตรมาส 4 ปีนี้ ประกาศรัฐบาลฝ่าฟัน จนได้ทำตามสัญญา แม้จะดีเลย์ ขณะปลัดคลัง แจงเงิน 5 แสนล้าน มาจากงบปกคิ 67-68
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยย้ำว่า นโยบายนี้จะยกระดับเศรษฐกิจทั้งประเทศ โดยใช้ความพยายามสูงสุดฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายจนกว่ามาถึงวันที่รัฐบาลทำตามสัญญาที่ให้กับประชาชน ซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฏหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
โครงการนี้จะกำหนดให้ใช้จ่ายในร้านค้าตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยร้อยละ 1.2 ถึง 1.6 ยืนยันว่าโปร่งใสตรวจสอบได้ การดำเนินโครงการจะต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รอบคอบระมัดระวังเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน
ด้าน นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง // อธิบายถึงแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ จำนวน 5 แสนล้านบาท ผ่านกระบวนการงบประมาณทั้งหมด จากงบปี 67 และ 68 ควบคู่กันไป แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1.เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 68 จำนวน 152,700 ล้านบาท
2.ดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ 172,300 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกรจำนวน 17 ล้านคนเศษ ผ่านกลไกมาตรา 28 ของปีงบ 68 ซึ่งรัฐจะจัดสรรงบคืนให้ตามความเหมาะสม
3.บริหารจัดการงบปี 67 จำนวน 175,000 ล้านบาท อยู่ในการจัดสรรของรัฐแต่หากไม่พอสามารถดึงงบกลาง
ได้
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พูดถึงการใช้เงินโครงการนี้ ผ่านระบบ super app ของรัฐบาลโดยการใช้งานจะพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายกับธนาคารอื่นๆในลักษณะ open loop
สำหรับประชาชน 50 ล้านคน กำหนดเกณฑ์ไว้ว่า เป็นผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป / ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปี / เงินฝากในธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งถือเป็นเกณฑ์เดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อ
เงื่อนไขการใช้จ่าย ระบุเป็น ประชาชนกับร้านค้ารายย่อย ใช้จ่ายในพื้นที่ระดับอำเภอ โดยให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็ก ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น
การใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า ไม่มีกำหนดเงื่อนไขในเรื่องเชิงพื้นที่ และขนาดของร้านค้า / การใช้จ่ายเงินสามารถใช้จ่ายได้หลายรอบ โดยส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ รอบที่หนึ่ง ระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น / สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการได้ ยกเว้นสินค้า อบายมุข น้ำมัน บริการ และออนไลน์ รวมถึงสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์จะกำหนดเพิ่มเติมอีดคนั้ง
สำหรับคุณสมบัติของร้านค้า ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีเท่านั้น ใน 3 ประเภทคือ 1.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (vat) 2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล และ 3.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร คือเป็นประชาชนที่ประกอบอาชีพค้าขายเท่านั้น
ส่วนการถอนเงินสด ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่จะถอนได้ต่อเมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่รอบที่ 2 ขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยงของการทุจริตในเรื่องของโครงการ และเพิ่มผลที่จะเกิดกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ประชาชนและร้านค้าสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ภายในไตรมาส 3 ของปี 2567 และจะเริ่มใช้จ่ายได้ภายในไตรมาส 4 ของปี 2567
และเพื่อป้องกันการทุจริต มีการแต่งตั้งอนุกรรมการและการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายเกณฑ์และเงื่อนไขวัตถุโครงการ โดยมีรอง ผบ.ตร. เป็นประธาน / มี ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นกรรมการ
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่แถลงในวันนี้ จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาภายในเดือนเมษายนนี้
ด้านนายกฯ ตอบคำถามสื่อมวลชน โดยยอมรับว่า โครงการนี้ผิดไปจากความคาดหวัง เพราะตั้งใจว่าจะแจกให้ประชาชนในต้นปี 67 แต่ก็ต้องขยับไปเป็นช่วงปลายปี เพราะต้องฟังเสียงของทุกคนที่ให้ข้อแนะนำ เสนอแนะ ก็พยายามตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมา ซึ่งก็ต้องดูอย่างดีและละเอียด เพื่อให้เป็นโครงการที่โปร่งใสซื่อสัตย์สุจริต ถูกต้องตามกฎหมาย / ส่วนการที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้เข้าร่วมประชุมถึง 2 ครั้ง ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะท่านติดภารกิจ เราก็รับทราบ แต่อย่างที่ นายจุลพันธ์ ย้ำกฌคือไม่มีปัญหา เพราะมีการส่งตัวแทนมาประชุมอยู่แล้ว ดังนั้นก็ชอบธรรม
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ นายกฯบอกว่าจะตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ 100,000 ล้านบาท ยังคงเดิมหรือไม่ และจะเอางบตรงไหนมาใส่ นายกฯ พยักหน้าพร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ไปบั่นทอนเรื่องลดขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ เงินตรงนี้ยังมี Level อยู่
เมื่อถามว่าเงินที่จะเข้ากระเป๋าประชาชนในไตรมาส 4 เป็นวันไหน ได้วางไว้หรือไม่ นายกฯ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว
ขณะที่ นายจุลพันธ์ ย้ำว่า เงินจะเข้ารอบเดียวคือ 10,000 บาท ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 67 ซึ่งจะมีผลต่อจีดีพีในปี 68 ไปแล้ว ส่วนปีต่อไปก็จะมีโครงการอื่นที่จะสร้างกำลังซื้อการจับจ่ายใช้สอยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อไป
IMCT NEWS
© Copyright 2020, All Rights Reserved