ขอบคุณภาพจาก RT
18/4/2024
ภายใต้การบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี อินเดียใกล้จะได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 แล้ว เป็นอีกทางเลือกหนึ่งต่อจากจีน ในการดึงดูดนักลงทุนและแบรนด์ต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนในภาคการผลิต
ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับตะวันตกกำลังย่ำแย่ อินเดียกลับเพลิดเพลินกับการผูกสัมพันธ์กับประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจเหล่านี้ และดึงให้บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่มากมายเข้ามาตั้งโรงงาน แต่การจะพิจารณาข้อมูลทางเศรษฐกิจของอินเดียแต่เพียงอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะข้อมูลของทางอินเดียเชื่อถือไม่ค่อยได้ จึงยากที่จะประเมินสภาพการณ์ที่แท้จริง
แต่ถ้าลองเทียบข้อมูลของอินเดีย ตั้งแต่ตอนที่นเรนทรา โมดี ขึ้นมามีอำนาจเมื่อปี 2014 จนถึงปัจจุบัน ก็จะพบว่า เศรษฐกิจอินเดียมีมูลค่าสูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อปี 2023 หรือประมาณ 133 ล้านล้านบาท มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกแล้วในเวลานี้ จากที่เคยอยู่ในอันดับ 9 เมื่อปี 2014 และจีดีพีก็ขยายตัวถึง 55% ระหว่างปี 2014 ถึง 2023
คาดว่า เศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวที่อย่างน้อย 6% ต่อปี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ แต่นักวิเคราะห์มองว่า ควรขยายตัวได้มากกว่า 8% หากอินเดียต้องการจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และต้องเป็นการขยายตัวอย่างยั่งยืนด้วย ผู้สังเกตการณ์บางคนมองว่า อินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐและจีน ก่อนปี 2027
แต่อินเดียก็ต้องทำให้จีดีพีต่อคนมีมูลค่ามากขึ้นด้วย ซึ่งใช้เป็นมาตรวัดมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ อินเดียยังมีจีดีพีต่อคนอยู่ในลำดับที่ 147 ของโลก เมื่อปี 2022 ซึ่งถือว่า ต่ำมาก และสะท้อนให้เห็นว่า คนในประเทศยังยากจนมาก จากรายงานของธนาคารโลก
อินเดียยังเริ่มตามรอยเท้าจีน ด้วยการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ โดยการทุ่มงบหลายพันล้านไปกับการสร้างถนน ท่าเรือ สนามบิน และทางรถไฟ ส่วนนักลงทุนเอกชนก็จะสร้างโรงงานพลังงานสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อินเดียสร้างเครือข่ายทางหลวงแห่งชาติระหว่างปี 2014 ถึง 2023 จนได้ระยะทางเพิ่มขึ้นเกือบ 55,000 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากเดิม 60% การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สร้างงาน และปรับปรุงการทำธุรกิจให้ง่ายขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อินเดียยังสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เพื่อปรับเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่และการทำธุรกิจ เช่น โครงการ Aadhaar ที่เปิดตัวเมื่อปี 2009 เป็นการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลชาวอินเดียหลายล้านคนเป็นครั้งแรก ฐานข้อมูลชีวภาพใหญ่สุดในโลก ช่วยให้รัฐบาลประหยัดงบหลายล้าน เนื่องจากการคอร์รัปชั่นในด้านสวัสดิการต่างๆ จะมีน้อยลง
อีกแพลตฟอร์มคือ Unified Payments Interface หรือ UPI ช่วยให้ผู้ใช้งานจ่ายเงินผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ด ใช้ได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เจ้าของร้านกาแฟยันขอทาน ช่วยให้เงินหลายล้านไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ นายกฯ โมดี พูดเมื่อปลายปี 2023 อ้างถึงรายงานธนาคารโลกว่า ระบบโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลแบบนี้ ช่วยให้อินเดียประสบความสำเร็จทางการเงินอย่างที่ตั้งเป้าไว้ภายใน 6 ปีเท่านั้น จากเดิมที่คาดว่า กว่าจะสำเร็จก็ต้อง 47 ปีเป็นอย่างต่ำ
เศรษฐกิจอินเดียขยายตัวยังดูได้จากตลาดหุ้น ซึ่งพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มูลค่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอินเดีย พุ่งทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว เมื่อปลายปี 2023 หรือประมาณ 144 ล้านล้านบาท อินเดียมีตลาดหุ้นสองแห่ง คือ NSE และ BSE
ตลาดหุ้น NSE ของอินเดีย กลายเป็นตลาดหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกแล้วในปีนี้ ( 2024 ) มีมาร์เก็ตแคป ขยายตัว 50% ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ถึง กุมภาพันธ์ 2024 แซงหน้าตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้นและฮ่องกง และมีอัตราการขยายตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับที่อื่น โดยได้อานิสงค์จากนักลงทุนในประเทศ ทั้งรายย่อยและสถาบัน
ตลาดหุ้น NSE มีนักลงทุนรายย่อย 9% ส่วนนักลงทุนต่างชาติมีไม่ถึง 20% แต่นักวิเคราะห์คาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 หลังผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว
นักลงทุนยังหันมาลงทุนในอินเดียมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากประเทศจีน ที่เจอทั้งอุปสรรคหลายอย่างในช่วงโรคระบาด และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐ อินเดียมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามในเอเชีย และที่ผ่านมาก็ได้เปิดโครงการจูงใจเพื่อดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาจัดตั้งโรงงานใน 14 ภาคธุรกิจ ตั้งแต่อิเลกทรอนิกส์ รถยนต์ ไปจนถึงเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ Foxconn ซัพพลายเออร์ของแอปเปิ้ล ยังขยายโรงงานมาที่อินเดีย อีลอน มักส์ มหาเศรษฐีพันล้านยังโพสต์ลง X เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จะไปพบผู้นำอินเดีย คาดว่า น่าจะประกาศการลงทุนในอินเดียเร็วๆนี้
เมื่อปี 2023 อินเดียผลิตไอโฟนคิดเป็น 11% ของโลก มากกว่าสามเท่าจากที่เคยผลิตเมื่อปี 2021 ส่วนแบ่งไอโฟนในตลาดอินเดียคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 23% ก่อนปี 2025 นักวิเคราะห์มองว่า การผูกสัมพันธ์กับแอปเปิ้ล จะทำให้มีบริษัทชื่อดังอื่นๆ หันมาลงทุนในอินเดียมากขึ้นด้วย
แต่สิ่งหนึ่งที่นายกฯ โมดีต้องรีบทำ หากได้รับเลือกกลับเข้ามาเป็นผู้นำอีกสมัย ก็คือ การสร้างงานหลายร้อยล้านตำแหน่งให้กับชาวอินเดียที่ยังยากจนเป็นวงกว้าง พลเมืองอินเดียในปัจจุบัน มีอายุเฉลี่ยที่ 29 ปี อินเดียจึงเป็นประเทศหนึ่งที่มีพลเมืองวัยหนุ่มสาวมากสุดในโลก แต่ก็ยังใช้ประโยชน์จากคนกลุ่มนี้ได้ไม่เต็มที่ ผลสำรวจยังพบว่า คนอินเดียที่มีการศึกษา ในวัย 15 – 29 ปี มีแนวโน้มมากกว่าถึงเกือบ 9 เท่า ที่จะเป็นผู้ว่างงาน เมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันแต่อ่านไม่ออกหรือเขียนไม่ได้ อัตราคนหนุ่มสาวที่ว่างงานในอินเดีย ยังสูงกว่าที่อื่นในโลกอีกด้วย
By IMCT News
อ้างอิงจาก https://edition.cnn.com/2024/04/16/economy/india-election-modi-economic-performance-intl-hnk-dg/index.html