ขอบคุณภาพจาก annenberg.usc.edu
12/10/2024
กระทรวงพาณิชย์ของจีน ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบริษัทจีนโดยเร็ว รวมถึงให้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจสำหรับบริษัทต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งผู้สังเกตการณ์ตลาดและผู้บริหารธุรกิจมองว่า ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่มั่นคงระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมทั่วโลก ที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมทางนโยบายที่เอื้ออำนวยต่อความร่วมมือระหว่างบริษัทต่างๆ จากทั้งสองฝ่าย
ระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์กับจีน่า ไรมอนโด รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ หวัง เหวินเทา รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีน แสดงความกังวลอย่างจริงจังถึงนโยบายของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ การกำหนดเป้าหมายของจีน และข้อจำกัดต่อยานยนต์อัจฉริยะของจีน
หวังเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องชี้แจงขอบเขตความมั่นคงของชาติในด้านเศรษฐกิจและการค้า เนื่องจากจะเอื้อต่อการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมทั่วโลก และการสร้างสภาพแวดล้อมทางนโยบายที่เอื้ออำนวยต่อความร่วมมือระหว่างชุมชนธุรกิจจากทั้งสองประเทศ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า การสนทนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการสื่อสารระหว่างสถาบันการค้าของทั้งสองประเทศ
ด้าน Wang Zhongmei นักวิจัยจากสถาบันเศรษฐกิจโลกของ Shanghai Academy of Social Sciences มองว่า อุตสาหกรรมระดับโลกจำนวนมาก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และยา ต้องพึ่งพาส่วนประกอบและวัสดุที่มาจากทั้งจีนและสหรัฐฯ ฉะนั้นความสัมพันธ์ที่มั่นคง จะสามารถลดการหยุดชะงักและป้องกันการล่าช้าของการผลิตและการขาดแคลนอุปทานในพื้นที่ธุรกิจหลายแห่งได้
ขณะที่ Zhang Yongjun นักวิจัยจากศูนย์แลกเปลี่ยนเศรษฐกิจระหว่างประเทศของจีนในกรุงปักกิ่งเตือนว่า เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในต้นเดือนพฤศจิกายน (2024) ทำให้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ด้วยความระมัดระวัง โดยในระยะสั้นจะมีความท้าทาย แต่ในระยะยาว แนวโน้มความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“สำหรับบริษัทสหรัฐฯ จีนเป็นตลาดที่ขาดไม่ได้” Zhang กล่าวเสริม “หากความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น บริษัทเหล่านี้อาจเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้แนวทางเศรษฐกิจและการค้าที่กระตือรือร้นและสมดุลมากขึ้นอีกครั้ง ความต้องการทางธุรกิจสามารถมีอิทธิพลต่อการดำเนินการของรัฐบาลได้ในระดับหนึ่ง”
ตามดัชนีความเชื่อมั่นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของ Kearney ประจำปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอีกสามปีข้างหน้า พบว่าอันดับโลกของจีนขยับขึ้นจากอันดับที่เจ็ดมาอยู่ที่อันดับสาม
“ในช่วงแรก บริษัทข้ามชาติต่างมองว่าจีนเป็นซัพพลายเออร์ จากนั้นจึงมองว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้ เราเริ่มมองว่าจีนเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ” แอนดรูว์ วู ผู้จัดการทั่วไปของสาขาจีนของบริษัท Dun & Bradstreet ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ กล่าว
ด้านวิลลี่ แทน ซีอีโอของ Skechers China, South Korea และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมองว่าจีนมีความสำคัญต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจระดับโลกของบริษัท โดยกล่าวว่าแม้จะมีความท้าทายจากภายนอก แต่จีนยังคงเป็นตลาดสำคัญสำหรับแบรนด์ระดับโลก ฐานผู้บริโภคที่กว้างขวาง ความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก และความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการปฏิรูปและนวัตกรรมสร้างโอกาสที่สำคัญมากมาย ด้วยร้านค้ามากกว่า 3,500 แห่งในจีน แบรนด์รองเท้าจากสหรัฐฯ จึงมีแผนที่จะขยายตลาดต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ส่วนมาร์ก แจฟฟ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหอการค้านิวยอร์กมองว่า ไม่มีใครต้องการหยุดความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างทั้งสองประเทศ จีนและสหรัฐฯ ได้สร้างความร่วมมือระยะยาวในสาขาต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์และยาแล้ว ซึ่งเมื่อเผชิญกับการแข่งขันระดับโลกที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องขยายและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในอนาคต
สำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีน เปิดเผยข้อมูลว่า ในช่วงแปดเดือนแรกของปี 2024 (ม.ค.-ส.ค.) สหรัฐฯ ยังคงเป็นพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่เป็นอันดับสามของจีน โดยมูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศอยู่ที่ 3.15 ล้านล้านหยวน (446,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี และคิดเป็น 11% ของมูลค่าการค้าต่างประเทศทั้งหมดของจีน
IMCT News
ที่มา https://asianews.network/china-calls-on-us-to-lift-sanctions-on-chinese-companies/