สภาสหรัฐฯ ถก คำสั่ง ‘ทรัมป์’ ระงับงบช่วยต่างชาติ หวั่นจีนฉวยโอกาส
1-2-2025
สมาชิกสภานิติบัญญัติสหรัฐฯ อภิปรายในวันพฤหัสบดี ในประเด็นคำสั่งฝ่ายบริหาร ระงับงบช่วยเหลือต่างประเทศ 90 วัน เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่างปัญหาหนี้สาธารณะ และความสามารถในการแข่งขันกับจีนบนเวทีโลก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์สั่งระงับความช่วยเหลือขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID (U.S. Agency for International Development) ที่ให้แก่หลายประเทศผ่านโครงการต่าง ๆ เป็นเวลา 90 วัน เพื่อประเมินความสอดคล้องกับนโยบาย "อเมริกามาก่อน"
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้หลายองค์กรที่รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ต่างทยอยปิดตัวกันในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงคลินิกผู้ลี้ภัยชายแดนไทย-เมียนมา
จิม ริช ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วุฒิสภา กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวคือขั้นตอนสำคัญสำหรับการประเมินความสำคัญในการจัดงบประมาณ ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ต้องแบกรับหนี้สินมูลค่า 36 ล้านล้านดอลลาร์
“หากคุณคิดว่านี่ (การเป็นหนี้) นั้นแย่แล้ว ตอนที่เจ้าหนี้มาหาแล้วต้องการเงินคืน และเราจ่ายไม่ได้ นั่นจะถือว่าเป็นเรื่องแย่จริง ๆ” ริช วุฒิสมาชิก (สว.) พรรครีพับลิกันจากรัฐไอดาโฮกล่าว พร้อมเพิ่มเติมด้วยว่าแนวทางของทรัมป์ ทำให้ทุกคนพักหายใจและหันกลับมาดูว่าสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงินอย่างไร ที่ไหน และมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
ฝ่ายพรรคเดโมแครตแสดงความกังวลว่าการระงับความช่วยเหลือ จะทำให้จีนเข้ามาแทนที่ช่องว่างที่สหรัฐฯ ทิ้งไป
ด้าน คริส คูนส์ สว. รัฐเดลาแวร์ พรรคเดโมแครต อภิปรายในเรื่องนี้ว่า กังวลถึงการขยายอิทธิพลของจีน รวมถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ที่จะสูญเสียทั้งในทางการทูต ความมั่นคงและเศรษฐกิจจากการระงับความช่วยเหลือแบบกะทันหันในลักษณะนี้
เขากล่าวว่า “ไม่มีอะไรที่จีนต้องการจะทำ มากกว่าจำกัดขอบเขตของอิทธิพลระดับโลกของเรา มากเสียกว่าการเสริมสร้างที่ทางของตัวเอง”
จีน ชาฮีน สว. เดโมแครตรัฐนิวแฮมป์เชอร์ ที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงใน กมธ. หวังว่าพรรครีพับลิกันจะห่วงกังวลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคำสั่งของทรัมป์เช่นกัน โดยระบุว่า “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำเพื่อรับรองว่าอิทธิพลของเรายังมีอยู่ทั่วโลก ในนามของความมั่นคงแห่งชาติของพวกเรา”
ที่ผ่านมาสหรัฐฯ เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือไปยังต่างประเทศรายใหญ่ที่สุด แต่ก็ถูกจีนแซงหน้าไปในบางประเด็น เช่นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ที่ในช่วงปี 2013-2022 สหรัฐฯ ใช้เงินไป 76,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนใช้ไป 679,000 ล้านดอลลาร์ อ้างอิงตามข้อมูลของสำนักงานด้านความรับผิดรับชอบของรัฐบาล (GAO) องค์กรอิสระที่ทำงานให้สภาคองเกรส
เจนนิเฟอร์ ลินด์ รองศาสตราจารย์ด้านการปกครอง วิทยาลัยดาร์ตมัธ กล่าวกับเหล่าสมาชิกสภาคองเกรสเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การช่วยเหลือต่างประเทศถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือด้านความมั่นคงของชาติที่สำคัญร่วมกับการทูต การช่วยเหลือทางด้านการทหาร และอื่น ๆ
เธอระบุว่า “ดังนั้น ในอุดมคติ เราต้องการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งหมดอย่างสอดประสานกันเพื่อบรรลุซึ่งเป้าหมาย ด้วยเหตุผลนั้น ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่รัฐบาลอยากหยุดสักพักเพื่อประเมินว่า เราใช้เครื่องมือที่ใช่ ในวิธีที่ถูกต้องหรือไม่”
เมลานี ฮาร์ต จากองค์กรคลังความคิด Atlantic Council ระบุว่าการระงับความช่วยเหลือ “ขัดขวางความสามารถของสหรัฐฯ ในการแข่งขันกับจีนในทุกสนาม” โดยยกตัวอย่างโครงการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งความช่วยเหลือทางทหารต่อไต้หวัน รวมถึงการปิดตัวขององค์กรรณรงค์ด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนทั่วโลก
เธอกล่าวว่า การพักความช่วยเหลือ “เป็นของขวัญให้กรุงปักกิ่ง ยิ่งทอดนานไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่จะยึดพื้นที่ที่สูญเสียไปในวันนี้ พรุ่งนี้ และสัปดาห์นี้คืนมา”
ในวันศุกร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ มีคำสั่งยกเว้นการระงับความช่วยเหลือในโครงการช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร และก่อนหน้านี้ก็เซ็นยกเว้นแบบเดียวกันให้กับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
เมื่อวันพฤหัสบดี ฝ่ายเดโมแครตใน กมธ. ด้านการแข่งขันทางยุทธศาสตร์กับจีน ออกมาแสดงความยินดีกับการตัดสินใจของรูบิโอ แต่ก็ทิ้งท้ายว่ารัฐบาลยังมีสิ่งต้องทำมากกว่านี้
ราจา กฤษณะมูรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคเดโมแครต กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “ขณะที่การทบทวนโครงการความช่วยเหลือต่างชาติเป็นสิ่งที่จำเป็น (แต่) การหยุดความช่วยเหลือต่างชาติใด ๆ อย่างกะทันหัน คือการยอมทิ้งพื้นที่ให้กับศัตรูของเรา คือสาธารณรัฐประชาชนจีน”
“ในเวลาที่สาธารณรัฐประชาชนจีนรุกลงทุนนอกประเทศ ปรับเปลี่ยนเส้นทางห่วงโซ่อุปทาน และซื้อใจเหล่าเผด็จการ สหรัฐฯ จะต้องเพิ่มความช่วยเหลือในต่างแดน ไม่ใช่ตัดแข้งตัดขาตัวเอง” แถลงการณ์ระบุ
ที่มา: วีโอเอ