.

G7 หารือที่แคนาดา หลังสหรัฐฯ เปลี่ยนใจปมยูเครน-เสนอหยุดยิง 30 วัน
13-3-2025
รัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่ม จี7 (G7) จะร่วมประชุมที่มณฑลควิเบค แคนาดา เป็นเวลาหลายวัน เพื่อหารือหนทางยุติสงครามยูเครน และแสดงจุดยืนสนับสนุนกรุงเคียฟในการรับมือการรุกรานของรัสเซีย การหารือครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ตกลงกลับไปแชร์ข้อมูลข่าวกรองและให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนอีกครั้ง หลังการหารือของผู้แทนทั้งสองฝ่ายที่เมืองเจดดาห์ ซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันอังคาร
ยูเครนประกาศภายหลังการหารือกับผู้แทนสหรัฐฯ เป็นเวลานานเกือบ 8 ชม. ว่าพร้อมยอมรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ให้มีการ "หยุดยิงชั่วคราว 30 วัน มีผลทันที" และกำลังรอการตัดสินใจของรัสเซีย
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวขณะเดินทางไปยังแคนาดาเพื่อร่วมประชุม จี7 ว่า สหรัฐฯ จะติดต่อหลายช่องทางไปยังรัสเซียเพื่อประเมินความต้องการจัดทำข้อตกลงสันติภาพ "และขอให้รัสเซียพิจารณายุติความเป็นปรปักษ์กับยูเครน" รูบิโอกล่าวด้วยว่า หากรัสเซียตกลง สิ่งหนึ่งที่ต้องตัดสินใจต่อไปคือใครจะทำหน้าที่ตรวจสอบในสนามรบว่ามีการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ทั้งสองฝ่ายไว้วางใจ
ส่วนที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในวันพุธว่า ขณะนี้ขึ้นอยู่กับรัสเซียแล้วว่าจะตอบรับหรือไม่ และหวังว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงเกิดขึ้น "ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เชื่อว่าเรามาถึง 80% ของการยุติการนองเลือดในครั้งนี้แล้ว"
ที่กรุงเคียฟ ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่า ข้อตกลงหยุดยิงจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถจัดเตรียมแผนแต่ละขั้นตอนเพื่อยุติสงครามครั้งนี้ รวมถึงการรับประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยของยูเครน
เมื่อวันอังคาร เซเลนสกีชี้ว่า ข้อเสนอหยุดยิงที่สหรัฐฯ และยูเครนเห็นพ้องกันนั้น "เป็นทิศทางเชิงบวก" และหวังว่าสหรัฐฯ จะสามารถโน้มน้าวรัสเซียให้เห็นด้วยได้ เพื่อที่การหยุดยิงจะมีผลบังคับใช้ในทันที
ด้านนายกรัฐมนตรีเยอรมนี โอลาฟ โชลซ์ กล่าวยินดีต่อข้อเสนอหยุดยิง 30 วัน และว่าเป็นก้าวสำคัญและถูกต้องที่จะนำไปสู่สันติภาพในยูเครน
ทางโฆษกรัฐบาลรัสเซีย ดมิทริ เพสคอฟ กล่าวว่า รัสเซียกำลังรอฟังสรุปเกี่ยวกับข้อเสนอนี้จากทางสหรัฐฯ โดยที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ไมค์ วอลซ์ กล่าวว่า ตนจะเดินทางไปเจรจากับเจ้าหน้าที่รัสเซียในอีกไม่กีวันจากนี้
หลังการประชุมในช่วงเช้าวันอังคารระหว่างตัวแทนของวอชิงตันและเคียฟที่ซาอุดีอาระเบีย รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกการระงับความช่วยเหลือทางทหารและการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับยูเครน ขณะที่ ยูเครนส่งสัญญาณพร้อมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วันหากรัสเซียยอมรับข้อเสนอ
สหรัฐฯ ระงับความช่วยเหลือดังกล่าวให้ยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ยอมร่วมโต๊ะเจรจาข้อตกลงยุติสงครามที่เริ่มจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียในช่วงต้นปี 2022
การยืนยันการตัดสินใจกลับมาให้ความช่วยเหลือทางทหารและข่าวกรองโดยสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังการประชุมที่นครเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย ในวันอังคาร ที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ไมค์ วอลต์ซ ร่วมโต๊ะหารือกับ อันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของทำเนียบประธานาธิบดียูเครน พร้อมกับ อันดรี ซีบิฮา รัฐมนตรีต่างประเทศ รัสเตม อูเมรอฟ รัฐมนตรีกลาโหมและพาฟโล พาลิซา ผู้บัญชาการกองทัพ
อันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของทำเนียบประธานาธิบดียูเครน บอกกับผู้สื่อข่าวก่อนเริ่มประชุมว่า ยูเครนนั้นพร้อม “ที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สันติภาพ” และเมื่อถูกถามว่า ยูเครนกำลังพยายามหาการรับประกันด้านความมั่นคงอยู่หรือไม่ เยอร์มักตอบว่า “ใช่” และว่า ยูเครนต้องการที่จะมั่นใจว่า รัสเซียจะไม่ทำการรุกรานซ้ำอีกต่อไป
รมต.รูบิโอกล่าวว่า สหรัฐฯ จะส่งข้อเสนอหยุดยิงที่เป็นข้อสรุปจากการประชุมนี้ให้เครมลินต่อไป พร้อมระบุว่า “เราจะบอกพวกเขาว่า นี่คือทุกอย่างที่มีให้พิจารณา ยูเครนพร้อมที่จะหยุดยิงและเริ่มพูดคุยแล้ว และตอนนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา(รัสเซีย) ว่า จะตอบรับ หรือไม่”
ความคืบหน้าในการผลักดันให้เกิดสันติภาพในยุโรปนี้เกิดขึ้น หลังรัสเซียยิงโดรนจำนวน 343 ลำของยูเครนตก ในการโจมตีที่ได้ชื่อว่า รุนแรงที่สุดจากฝั่งกรุงเคียฟ นับตั้งแต่สงครามนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 3 ปีก่อน ตามรายงานของเอพี
ยูเครนและสหรัฐฯ ยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเหตุโจมตีดังกล่าวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 10 แคว้นของรัสเซีย และทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คนและบาดเจ็บ 18 คนซึ่งรวมถึงเด็ก 3 คน อ้างอิงข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัสเซีย ขณะเดียวกัน รัสเซียส่งโดรน 126 ลำและยิงขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยไกลเข้าใส่ยูเครนด้วย ตามการเปิดเผยของกองทัพอากาศยูเครน
คำถาม: แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับข้อตกลงสินแร่หายาก?
หนึ่งในหัวใจหลักของการเป็นตัวกลางของสหรัฐฯ ในการเจรจายุติสงครามนี้คือ สินแร่หายากของยูเครน หลังปธน.ทรัมป์แสดงความสนใจที่จะเดินหน้ามอบความช่วยเหลือทางทหารให้กรุงเคียฟ เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรนี้ของยูเครน
สินแร่กว่า 40 ชนิด ซึ่งรวมถึงสินแร่ที่หายากหลายประเภท และนิกเกิลและลิเธียม คือ ทรัพยากรที่มีความสำคัญสำหรับเศรษฐกิจและงานด้านกลาโหมของสหรัฐฯ ขณะที่ ยูเครนมียูเรเนียม ลิเธียมและไทเทเนียมจำนวนมากอยู่ในมือ
ก่อนหน้าการประชุมที่เจดดาห์ รมต.รูบิโอชี้แจงว่า การบรรลุข้อตกลงด้านทรัพยากรสินแร่หายากของยูเครนนั้นไม่ใช่จุดประสงค์หลักในการหารือในวันอังคาร และระบุว่า “มีรายละเอียดมากมายที่ต้องหารือกัน และ ณ จุดนี้ เราเพียงอาจจะลงนามข้อตกลงที่เฉพาะเจาะจง มากกว่าทำบันทึกความเข้าใจ (MOU)”
รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวชื่นชมอังกฤษและฝรั่งเศสที่เข้ามามีบทบาทในการหารือกับยูเครน และบอกกับ วีโอเอ ด้วยว่า ยังไม่มีการหารือว่า จีนจะมีส่วนร่วมในกระบวนการฟื้นฟูและรักษาสันติภาพในยูเครนหลังสงครามสิ้นสุดลงหรือไม่
สำหรับฝั่งยูเครน เจ้าหน้าที่บอกกับเอพีว่า สิ่งที่เตรียมเสนอเข้าไปในแผนสงบศึกคือ การหยุดยิงในพื้นที่ต่าง ๆ ที่รวมถึงในทะเลดำ ซึ่งจะทำให้การเดินเรือปลอดภัยขึ้น และการหยุดใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีพลเรือนในยูเครน รวมทั้งการปล่อยตัวเชลยศึกด้วย
เจ้าหน้าที่ 2 คนของยูเครนเปิดเผยด้วยว่า กรุงเคียฟพร้อมจะลงนามในข้อตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อเปิดทางให้เข้าถึงสินแร่หายาก ตามที่ทรัมป์สนใจ
ที่มา ** เนื้อหาบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์ และ Agencies
------------------------------------
ข้อเสนอหยุดยิง 30 วัน กับดักทางการทูตสำหรับปูติน หลังทรัมป์พลิกเกมวางมาตรการคว่ำบาตรใหม่
13-3-2025
Asia Time นำเสนอบทความเชิงวิเคราะห์ว่า มอสโกตกอยู่ในสถานการณ์กดดันว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย สหรัฐอเมริกาประกาศว่ายูเครนได้ตกลงตามข้อเสนอให้มีการหยุดยิงเป็นเวลา 30 วันกับรัสเซีย หลังจากสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปี
การประกาศนี้เกิดขึ้นภายหลังการเจรจาสันติภาพในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนเดินทางไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม และถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของสถานการณ์ ขณะนี้ ลูกบอลได้ถูกส่งไปอยู่ในมือของรัสเซียว่าจะตอบรับข้อเสนอหยุดยิงนี้หรือไม่
เหตุการณ์การโต้เถียงอย่างรุนแรงระหว่างเซเลนสกีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ในทำเนียบขาวเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างมากจากมุมมองของผู้นำยูเครน ทั้งทรัมป์และแวนซ์ต่างโจมตีเซเลนสกีอย่างรุนแรง ก่อนที่การประชุมจะยุติลงอย่างกะทันหัน
ผลกระทบที่ตามมาจากการประชุมดังกล่าวดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งกว่าการประชุมเอง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ทรัมป์ได้ระงับความช่วยเหลือทางทหารที่เป็นรูปธรรมแก่ยูเครน และอีกสองวันต่อมา สหรัฐฯ ก็หยุดการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับยูเครน อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเกี่ยวกับข่าวกรองได้ถูกพลิกกลับหลังจากยูเครนเห็นชอบกับข้อเสนอหยุดยิง
ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ทรัมป์เคยสัญญาว่าจะยุติสงครามภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากได้รับชัยชนะเป็นสมัยที่สอง ทรัมป์แสดงท่าทีไม่สนใจและบางครั้งถึงกับเป็นปรปักษ์ต่อรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ความปั่นป่วนภายในประเทศที่เกิดจากนโยบายหลายด้านของเขา ดูเหมือนจะผลักดันให้เขาต้องการความสำเร็จในการเมืองระหว่างประเทศ ยูเครนจึงกลายเป็นโอกาสสำคัญ ถึงกระนั้น การที่ทรัมป์หันมาให้ความสนใจยูเครนมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการโจมตีเซเลนสกีในห้องทำงานรูปไข่ ทำให้ผู้นำยูเครนต้องปรับตัว ดังนั้น เขาจึงเริ่มดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับการสนับสนุนยูเครนในโลกที่ขาดความเป็นผู้นำของสหรัฐอเมริกา
ความหมกมุ่นของทรัมป์ต่อยูเครน
ความหมกมุ่นของทรัมป์ที่มีต่อยูเครนมีรากฐานมาจากมุมมองโลกของเขาหลายประการ
ประการแรก แม้ว่าทฤษฎีที่ว่าทรัมป์เป็นสายลับรัสเซียอาจเกินจริงไป แต่เขาดูเหมือนจะมีความสนใจเป็นพิเศษต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ความสนใจนี้น่าจะมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าปูตินมองโลกในเชิงผลประโยชน์ตอบแทนเช่นเดียวกับทรัมป์ ปูตินเป็นบุคคลที่ทรัมป์ซึ่งวางตัวเป็นผู้เจรจาต่อรองมืออาชีพ สามารถบรรลุข้อตกลงด้วยได้
ประการที่สอง ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนสอดคล้องกับมุมมองของทรัมป์ที่ว่า สหรัฐฯ มอบความช่วยเหลือมากเกินไปในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของโลกให้น้อยเกินไปในการรักษาเสถียรภาพระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับยุโรปที่ทรัมป์มองว่าเป็นการ "อาศัยประโยชน์" จากการค้ำประกันความมั่นคงโดยสหรัฐฯ
ประการที่สาม ทรัมป์มองว่ายูเครนมีศักยภาพที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมและการป้องกันประเทศของอเมริกา แต่ไม่ใช่ในทางการทหาร แร่ธาตุหายากที่ยูเครนมีอยู่นั้นมีความสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร โดยตลาดนี้ถูกครอบงำโดยประเทศที่ทรัมป์และคนอื่นๆ มองว่าเป็นคู่แข่งหลักของอเมริกา นั่นคือจีน
ประการที่สี่และสุดท้าย ทรัมป์ตระหนักดีว่าสหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองเหนือยูเครน ความช่วยเหลือทางทหารของอเมริกาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยูเครนสามารถต่อสู้ในสงครามยืดเยื้อกับศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก แม้ว่าการอ่อนแอลงของกองทัพและเศรษฐกิจรัสเซียจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ แต่ทรัมป์ที่มุ่งเน้นเป้าหมายระยะสั้นกลับมองข้ามประเด็นนี้ไป
เซเลนสกีเล่นเกมเหนือทรัมป์หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้คำนึงถึงความเข้มแข็งของบุคลิกภาพเซเลนสกี ในขณะที่ทรัมป์พยายามใช้ยูเครนเพื่อประโยชน์ของตนเอง เซเลนสกียังคงมุ่งมั่นที่ผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก ไม่ใช่นโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ความขัดแย้งทางบุคลิกภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองทำให้การประชุมอันวุ่นวายในห้องทำงานรูปไข่เกิดขึ้นอย่างเกือบหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อพิจารณาจากวาทกรรมที่ทรัมป์ใช้ต่อเซเลนสกีก่อนการประชุมนั้น จึงเป็นเรื่องน่าแปลกที่ผู้นำยูเครนยังตกลงที่จะเข้าร่วมการประชุม แต่มีรายงานว่าเซเลนสกีเองเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการประชุม และถึงกับขอให้ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสช่วยเป็นคนกลาง
การสนับสนุนของอเมริกาต่อยูเครนเริ่มจางหายไปก่อนการประชุมที่วุ่นวายนี้ ไม่มีความช่วยเหลือใหม่ใดๆ ให้แก่ยูเครนตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี หากยูเครนต้องการอยู่รอด จำเป็นต้องหาผู้อุปถัมภ์รายใหม่
เซเลนสกีได้เสี่ยงในหลายสถานการณ์ระหว่างความขัดแย้ง ซึ่งไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาหรือยูเครน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเหล่านั้นล้วนผ่านการคำนวณมาอย่างรอบคอบ ความพยายามของเขาที่จะเสริมสร้างการสนับสนุนยูเครนในหมู่พันธมิตรที่ไม่ใช่อเมริกันภายหลังการประชุมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งที่ทำเนียบขาว อาจเป็นตัวอย่างของการคำนวณเชิงยุทธศาสตร์แบบนี้
ยุโรปรวมตัวสนับสนุนยูเครน
ภายหลังการประชุมดังกล่าว ประชาคมระหว่างประเทศได้แสดงการสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตอบสนองจากยุโรป
แม้ว่าแนวทางของทรัมป์จะมีปัญหามากมาย แต่เขาก็ถูกต้องในประเด็นที่ว่าการตอบสนองของยุโรปต่อการรุกรานของรัสเซียยังไม่เพียงพอจากมุมมองของยูเครน แม้ว่ายุโรปจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ยูเครนมากกว่าสหรัฐฯ แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ และมักเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ แสดงความเป็นผู้นำในประเด็นนี้แล้ว
ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรได้กลายเป็นผู้สนับสนุนยูเครนรายใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นผู้สนับสนุนยูเครนที่เปิดเผยและแข็งขันที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยูเครนต้องการคือการแปลงคำสนับสนุนเหล่านั้นให้เป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรม
ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ได้ประกาศโครงการมูลค่า 800,000 ล้านยูโรสำหรับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศ ไม่นานหลังจากที่เซเลนสกีได้พบกับผู้นำยุโรปในลอนดอนช่วงต้นเดือนมีนาคม ในการอธิบายเหตุผล ฟอน เดอร์ เลเยนกล่าวว่า:
"ด้วยอุปกรณ์เหล่านี้ ประเทศสมาชิกสามารถยกระดับการสนับสนุนยูเครนได้อย่างมหาศาล... แนวทางการจัดซื้อร่วมกันนี้จะช่วยลดต้นทุน ลดความแตกแยก เพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกัน และเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของเรา"
สหภาพยุโรปมีความสำคัญยิ่ง
แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่การสนับสนุนที่ฟื้นคืนจากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรอาจทำให้ยูเครนสามารถต่อสู้ต่อไปได้ ในขณะที่เศรษฐกิจรัสเซียที่ถดถอยเป็นอุปสรรคต่อความพยายามทำสงครามของปูติน
หลังจากการเผชิญหน้ากับทรัมป์และแวนซ์ในห้องทำงานรูปไข่ เซเลนสกีได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนกับสหรัฐฯ และสนองตอบต่ออัตตาของทรัมป์ แต่ความตึงเครียดยังคงมีอยู่
จากมุมมองของยูเครน ประเทศนี้ต้องการพันธมิตรใหม่ในสงครามต่อต้านรัสเซีย และสหภาพยุโรปสามารถทำหน้าที่นี้ได้ สหรัฐฯ อาจเป็นประเทศที่ผลักดันให้เกิดการหยุดยิงในยูเครน แต่ยุโรปจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดต่อความสามารถของยูเครนในการต่อสู้ในสงคราม หากสงครามยังคงดำเนินต่อไป
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/03/us-ukraine-ceasefire-proposal-puts-ball-in-putins-court/
---------------------------------------------------------------
ทำเนียบขาวชี้ ’ทรัมป์ ‘ทำให้เซเลนสกี ’อยู่ในที่ของเขา’
ขอบคุณภาพจาก RT
13-3-2025
แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่าการกระทำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ต่อโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ทำให้เซเลนสกึ ‘อยู่ในที่ของเขา“ รวมถึงชัดเจนว่า เป้าหมายของวอชิงตันคือสันติภาพระยะยาวระหว่างมอสโกและเคียฟ หลังจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (11 มี.ค.) คณะผู้แทนสหรัฐฯ และยูเครนได้หารือกันที่เจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งในระหว่างนั้น ยูเครนได้ตกลงที่จะ “หยุดยิงชั่วคราว 30 วันทันที” กับรัสเซียตามที่วอชิงตันเสนอ และแสดงความพร้อมที่จะลงนามในข้อตกลงที่ให้สหรัฐฯ เข้าถึงแร่ธาตุสำคัญของยูเครน “โดยเร็วที่สุด”
การตัดสินใจดังกล่าวของยูเครน ส่งผลให้ทรัมป์ยุติการระงับความช่วยเหลือทางทหารและข่าวกรองแก่เคียฟ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้สั่งระงับการให้ความช่วยเหลือ จากการปะทะคารมกันต่อหน้าสาธารณชนกับเซเลนสกีที่ห้องโอวัลออฟฟิศ ซึ่งวอชิงตันให้เหตุผลว่า ผู้นำยูเครนไม่เต็มใจที่จะหาทางออกทางการทูตต่อความขัดแย้งกับเคียฟ
หลังจากการเจรจาเมื่อวันอังคาร (11 มี.ค.) ลีวิตต์ระบุว่า ทำเนียบขาว “พอใจมากกับผลลัพธ์ของยูเครนและข้อตกลงในวันนี้”
“เราหวังว่าสิ่งนี้จะดำเนินต่อไปในสันติภาพที่ยาวนานและถาวร นั่นคือเป้าหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ และเราหวังว่าเราจะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้”ลีวิตต์กล่าวเสริม
โฆษกทำเนียบขาวอ้างถึงทรัมป์ว่าเป็น “ผู้เจรจาหลัก” โดยกล่าวว่า “เขาทำให้เซเลนสกีอยู่ในสถานะของเขาและบอกเขาว่าชาวอเมริกันจริงจังกับข้อตกลงสันติภาพระยะยาว”
ทรัมป์ไม่ได้เดินทางไปซาอุดีอาระเบีย ในขณะที่เซเลนสกีเดินทางไปเจดดาห์แต่ไม่ได้เข้าร่วมการเจรจา มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ วอลทซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิทคอฟฟ์ ทูตของทรัมป์ประจำตะวันออกกลาง เป็นตัวแทนของวอชิงตันในระหว่างการเจรจา ในขณะที่คณะผู้แทนยูเครนนำโดยอันเดรย์ เยอร์มัค หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเซเลนสกี
เห็นได้ชัดว่าทรัมป์ “มีส่วนร่วมอย่างมาก โดยเขาได้รับข้อมูลสรุปตลอดทั้งวันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในซาอุดีอาระเบีย” ลีวิตต์กล่าว
เมื่อถูกถามถึงปฏิกิริยาของรัสเซียต่อข้อตกลงหยุดยิงที่บรรลุระหว่างวอชิงตันและเคียฟในเจดดาห์ ลีวิตต์ตอบว่า “ฉันไม่ได้รับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับความคืบหน้า ฉันรู้แค่ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอและที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ไมค์ วอลท์ซ กำลังทำงานอย่างหนักในเรื่องนี้”
ขณะที่มอสโกกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า จะไม่ยอมรับการหยุดยิงชั่วคราวกับยูเครน เพราะจะเกิดประโยชน์ต่อเคียฟและผู้สนับสนุนจากชาติตะวันตกเท่านั้น ซึ่งประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวเมื่อเดือนมกราคม (2025) ว่า “เป้าหมายไม่ควรเป็นการสงบศึกชั่วคราว ไม่ใช่การพักรบเพื่อรวบรวมกำลังและเสริมกำลังอาวุธเพื่อดำเนินความขัดแย้งต่อไปในภายหลัง แต่ควรเป็นสันติภาพระยะยาว บนพื้นฐานของการเคารพต่อผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของประชาชนทุกคน ทุกประเทศในภูมิภาคนี้”
IMCT News
ที่มา https://on.rt.com/d5t8