เจาะลึกพื้นที่เสี่ยงสงครามนิวเคลียร์ท่ามกลางความตึงเครียดทั่วโลก
27/4/2024
เจาะลึก 5 พื้นที่เสี่ยงสงครามนิวเคลียร์ ท่ามกลางความตึงเครียดทั่วโลก
ภาวะตึงเครียดระหว่าง ยูเครน-รัสเซีย, เกาหลีเหนือ-ใต้, อิหร่าน-อิสราเอล, สหรัฐฯ-จีน, และอินเดีย-ปากีสถาน มีความเสี่ยงนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ ผู้นำโลกและสหประชาชาติกดดันให้ใช้การเจรจา เลี่ยงหายนะครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ
สถานการณ์สงครามทั่วโลก ความเสี่ยงของสงครามนิวเคลียร์ และความพยายามในการป้องกัน
ปัจจุบัน ความขัดแย้งและสงครามยังคงดำเนินอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ข้อพิพาทในคาบสมุทรเกาหลี สงครามกลางเมืองในซีเรียและเยเมน ตลอดจนความตึงเครียดในตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ สงครามเหล่านี้ไม่เพียงคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ยังสร้างความทุกข์ทรมานแก่พลเรือน และส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง
ในยูเครน แม้รัสเซียจะอ้างว่าปฏิบัติการทางทหารของตนมีเป้าหมายเพื่อปกป้องชาวรัสเซียในภูมิภาคดอนบาสและผนวกไครเมียเข้ากับรัสเซีย แต่ยูเครนและชาติตะวันตกกลับมองว่าเป็นการรุกรานดินแดนของยูเครน หลายฝ่ายเกรงว่าขอบเขตของสงครามอาจขยายวงกว้างออกไปอีก
ในความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน ซึ่งมีผู้สนับสนุนคือ นาโต ซึ่งพร้อมด้วยขีปนาวุธเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ในเอเชียตะวันออก ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ รวมถึงญี่ปุ่นก็ยังคงตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์หลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ใกล้เคียงก็แสดงความกังวลอย่างมากต่อการกระทำของเกาหลีเหนือ
ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลในตะวันออกกลาง เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการตอบโต้กันไปมา ระหว่างอิสราเอล และ อิหร่าน ก็ทวีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากเดิมต่างฝ่ายต่างปะทะกันในซีเรียอยู่บ่อยครั้ง มาถึงจุดที่ต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันเองในช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะขยายไปสู่การเผชิญหน้ากันโดยตรงด้วยขีปนาวุธที่มีอานุภาพรุนแรงมากขึ้น
สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ก็ยังคุกรุ่นเช่นกัน เมื่อจีนอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลจีนใต้ สร้างเกาะเทียมและที่มั่นทางทหาร ขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคโต้แย้งการอ้างสิทธิ์ของจีน กองเรือสหรัฐฯ ซึ่งลาดตระเวนในพื้นที่พิพาทเพื่อธำรงเสรีภาพในการเดินเรือ ก็มีการเผชิญหน้ากับกองเรือจีนอยู่เนืองๆ เสี่ยงต่อการปะทุเป็นความขัดแย้งทางทหารได้ทุกเมื่อ
ที่น่าวิตกยิ่งกว่า คือความเสี่ยงที่ความขัดแย้งเหล่านี้จะนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ เนื่องจากหลายประเทศที่มีส่วนร่วมล้วนมีหรือต้องการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง ผู้นำรัสเซีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน ต่างก็เคยส่งสัญญาณขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ในบางสถานการณ์ หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นจริง แม้ในวงจำกัด ก็จะสร้างหายนะต่อชีวิตผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล
ในขณะที่ทะเลจีนใต้ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์เช่นกัน จากข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือพื้นที่ทางทะเล และการแข่งขันทางอำนาจระหว่างจีนและสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์มองว่า การใช้อาวุธนิวเคลียร์แม้เพียงครั้งเดียว อาจนำไปสู่การโต้ตอบด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากฝ่ายตรงข้ามหรือพันธมิตร จนลุกลามเป็นสงครามนิวเคลียร์เต็มรูปแบบ และสร้างหายนะต่อมนุษยชาติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยเหตุนี้ ประชาคมโลกจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น ผ่านการเจรจาเพื่อลดความตึงเครียด การควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ และการส่งเสริมการใช้พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ
IMCT News เปิดพื้นที่เสี่ยงสงครามนิวเคลียร์อันดับต้นๆ ของโลก
ตะวันออกกลาง: อิหร่าน-อิสราเอล
ยุโรป:รัสเซีย-NATO(ยูเครน โปแลนด์)
คาบสมุทรเกาหลี: เกาหลีเหนือ- ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้
ทะเลจีนใต้: สหรัฐฯ-จีน
รายชื่อประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์: ประเทศรัสเซีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศเกาหลีเหนือ ประเทศจีน
ประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอินเดีย ประเทศปากีสถาน ประเทศอิสราเอล (ไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ) และประเทศอิหร่าน (ไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ)
ด้านผู้นำระดับสูงของหลายประเทศ รวมทั้งเลขาธิการสหประชาชาติ ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อความเสี่ยงของสงครามนิวเคลียร์ที่เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากความขัดแย้งและความตึงเครียดในหลายพื้นที่ของโลก
ประธานาธิบดีอันเดรย์ ดูดา ของโปแลนด์ เตือนว่า "หากรัสเซียใช้อาวุธนิวเคลียร์แบบยุทธวิธีในยูเครน อาจนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ครั้งที่ 3 ของโลก ซึ่งจะทำลายล้างอารยธรรมของเรา"
จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรี ของแคนาดา แสดงความกังวลต่อการทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงของโลก โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อกดดันเปียงยางให้ยุติโครงการอาวุธร้ายแรงทั้งหมด
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ระบุว่า "การคุกคามที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ แต่เป็นความเสี่ยงที่แท้จริง"
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ก็เคยส่งสัญญาณเชิงขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน โดยระบุว่า "รัสเซียพร้อมใช้มาตรการทุกอย่างเพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของเรา"
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น เตือนว่า "ภัยคุกคามของอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต และไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป"
ขณะที่ผู้นำสูงสุดคิม จองอึน ของเกาหลีเหนือ ก็ขู่ว่า "หากมีสงครามเกิดขึ้น เกาหลีเหนือพร้อมใช้กำลังนิวเคลียร์เพื่อทำลายศัตรูอย่างราบคาบ"
ด้านนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมที ของอินเดีย แม้จะแสดงความภูมิใจต่อขีดความสามารถนิวเคลียร์ของอินเดีย แต่ก็ย้ำว่า "อินเดียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องกันตนเองเท่านั้น และจะไม่ใช้ก่อนในทุกกรณี"
ในขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ระบุว่า "จีนจะยึดมั่นในนโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน แต่จะรักษาศักยภาพในการตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์เท่าที่จำเป็น"
ในตะวันออกกลาง นายกรัฐมนตรีนาฟทาลี เบนเนตต์ ของอิสราเอล เตือนว่า "อิหร่านใกล้จะสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้แล้ว ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของอิสราเอล" พร้อมย้ำว่า "อิสราเอลจะใช้มาตรการทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์"
ขณะที่ประธานาธิบดีเอบราฮิม ไรซี ของอิหร่าน กล่าวว่า "อิหร่านไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ โครงการนิวเคลียร์ของเรามีเป้าหมายเพื่อสันติเท่านั้น"
แอนโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่าภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ในขณะนี้ "อยู่ในระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น" เขาเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ เจรจากันเพื่อลดความเสี่ยง พร้อมย้ำว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ "ไม่อาจยอมรับได้" และจะนำไปสู่หายนะของมวลมนุษยชาติ
โป๊ป ฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกก็ออกมาเตือนเช่นกันว่า การใช้อาวุธนิวเคลียร์ แม้เพียงครั้งเดียว ก็อาจนำไปสู่การทำลายล้างของมนุษยชาติทั้งหมด ท่านเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเลิกคุกคามที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ และหันมาเจรจากันอย่างสันติ
จากคำพูดของผู้นำเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าอาวุธนิวเคลียร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงของหลายประเทศ แม้บางชาติจะยืนยันว่าจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน แต่หลายประเทศก็ยังมองว่าเป็นหนทางสุดท้ายในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามร้ายแรง
ประชาคมโลกจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทั้งการแสวงหาแนวทางยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ผ่านการทูตและการเจรจา การป้องกันการแพร่กระจายของอาวุธและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ รวมถึงการกดดันประเทศที่พยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงของสงครามที่อาจนำไปสู่ความหายนะของมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยความพยายามของประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและยั่งยืนของมนุษยชาติ
IMCTNEWS
Niramol P.