2/6/2024
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า “ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์” ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั้ง "เศรษฐกิจโลก" และ"เศรษฐกิจไทย" โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ประกอบกับความยืดเยื้อของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
เมื่อรวมกับการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่หากยืดเยื้อรุนแรงมากขึ้นจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่การผลิตโลกและเศรษฐกิจโลกในภาพรวม รวมทั้งจะเกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลกและระดับราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ที่จะกระทบมายังเศรษฐกิจไทยได้
ความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกเหล่านี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้ลงจากเดิม 2.7% เหลือประมาณ 2.5%
ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่กลับมาปะทุอีกครั้งหลังจากการโจมตีกันระหว่างอิสราเอล และฮามาส ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.2566 มาถึงการตอบโต้ทางการทหารกันระหว่างอิสราเอล และอิหร่านจนเกิดความกังวลว่าสถานการณ์จะบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่ระดับภูมิภาคได้
โดยปัจจุบันนี้สถานการณ์ลดความตรึงเครียดลงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่สิ้นสุดลง หลายฝ่ายยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลางว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากเพียงใด
สำหรับผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่กระทบกับเศรษฐกิจของไทยนั้นมีทั้งทางตรงและทางอ้อม สศช.ได้คาดการณ์ผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางต่อเศรษฐกิจไทยไว้ 5 ด้าน ดังนี้
1.ผลกระทบโดยตรงผ่านการค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยว และการลงทุนโดยตรง โดยประเทศไทยมีความเชื่อมโยงกับประเทศคู่ขัดแย้งโดยตรง (อิสราเอลและอิหร่าน) ในสัดส่วนที่ต่ำ โดยผลกระทบในช่องทางดังกล่าวจึงมีอย่างจำกัด
2.ผลกระทบที่จะเกิดกับราคาพลังงาน ภูมิภาคตะวันออกกลางมีความสำคัญในแง่ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสำคัญของน้ำมันดิบส่งผลให้สถานการณ์ในภูมิภาคจะมีผลต่อระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมี่การนำเข้าน้ำมันดิบจากภูมิภาคดังกล่าวมากกว่า 50% จึงเป็นช่องทางการส่งผ่านผลกระทบหลักที่มีต่อประเทศไทย หากมีการสู้รบขยายวงกว้างจะกระทบกับเศรษฐกิจไทยได้
โดยปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากหลายประเทศมีสัดส่วนตามการนำเข้าจาก 10 ประเทศหลัก ดังนี้
สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (UAE) 36.5%
ซาอุดิอาระเบีย 15%
มาเลเซีย 8.2%
สหรัฐฯ 7.4%
อินโดนิเซีย 4.7%
ลิเบีย 3.9%
แองโกลา 3.5%
ญี่ปุ่น 3.5%
ไนจีเรีย 3%
ยุโรป 2.5%
4.ความผันผวนของตลาดการเงินโลก สถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ (Safe Haven) มากขึ้น อาทิ ทองคำ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินของประเทศกำลังพัฒนาและเศรษฐกิจเกิดใหม่ อ่อนค่าลง ขณะที่ตลาดทุนมีความผันผวนในระยะสั้นภายหลังจากที่เหตุการณ์ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น
และ 5.การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก ผลกระทบหลักมาจากการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงโดยกลุ่มฮูตีในเยเมน ส่งผลให้การขนส่งผ่านทะเลแดงและคลองสุเอชปรับตัวลดลงจนส่งผลต่อต้นทุนการค้าระหว่างประเทศ และกระทบต่อต้นทุนการนำเข้าและส่งออกของไทยได้ เนื่องจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น
IMCT News
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1129021