Thailand
Trade War รอบใหม่! สหรัฐฯ เล็งขึ้นภาษีจีน 60% หวังลดขาดดุล เวียดนาม-เม็กซิโกได้เต็ม
ไทยได้อานิสงส์เฉพาะอุตสาหกรรมเดิม ชี้สินค้าอุปโภคบริโภคโดนหนัก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานผลการศึกษาชี้ Trade War รอบแรกปี 2561 เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ แม้สหรัฐฯ ยังขาดดุลการค้ากับจีนสูงถึง 2.79 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 26% ของยอดขาดดุลการค้ารวมในปี 2566 แต่รูปแบบการค้าเปลี่ยนไป โดยมีประเทศที่ 3 เข้ามาเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ
สินค้าที่ถูกเก็บภาษี 25% ในรอบแรก อาทิ HDDs ยางล้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ การนำเข้าลดลงจาก 2.34 แสนล้านดอลลาร์เหลือ 1.3 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังไม่โดนภาษี เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กลับเพิ่มขึ้นจาก 1.67 แสนล้านดอลลาร์เป็น 2.12 แสนล้านดอลลาร์
Trade War รอบใหม่คาดกระทบหนักสินค้ากลุ่มที่ยังไม่เคยโดนภาษี เวียดนามได้ประโยชน์ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เม็กซิโกได้งานยานยนต์ ส่วนไทยได้อานิสงส์จำกัดเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีฐานอยู่แล้ว เช่น เซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ ถุงมือยาง อุปกรณ์โทรทัศน์ เนื่องจากข้อจำกัดด้านต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
นโยบายกีดกันทางการค้ากับจีน เป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้ ที่มีการกล่าวถึงกันมาก โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากสินค้าจีน 60% และประเทศอื่นๆ อีก 10-20% ซึ่งคาดว่าจะสร้างความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ตลอดจนอาจเกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก
• Trade War รอบแรกปี 2561 สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในการปรับห่วงโซ่การผลิตโลก
หลังจาก Trade War รอบแรกผ่านมา 6 ปี สหรัฐฯ ยังคงขาดดุลการค้ากับจีนสูงในระดับสูง นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2561 ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้มาตรา 301 (Unfair Trade Practice Section 301) ในการขึ้นภาษีสินค้าจีนภายใต้มาตรการปกป้องการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยมุ่งหวังลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กันจีน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังคงขาดดุลการค้ากับจีนสูงในระดับสูงถึง 2.79 แสนล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็น 26% ของยอดขาดดุลการค้ารวมของสหรัฐฯ ในปี 2566 ในขณะที่จีนยังคงเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วน 14% ของการส่งออกโลก
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเปลี่ยนรูปแบบไป โดยมีประเทศที่ 3 อย่างอาเซียนและเม็กซิโกเข้ามาเป็นฐานการผลิตของจีนเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ จากรูปที่ 1 สหรัฐฯ นำเข้าจากเม็กซิโกเป็นอันดับ 1 แทนที่จีน และมีการนำเข้าจากอาเซียนเพิ่มด้วย ในขณะที่จีนก็มีการตลาดส่งออกอาเซียนเป็นอัน 1 แทนที่สหรัฐฯ
จาก Trade War รอบแรก การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตราที่แตกต่างกันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากจีนที่ต่างกัน (รูปที่ 2)
- สินค้ากลุ่ม 1 ที่มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสูงสุดในอัตรา 25% ส่งผลให้สหรัฐฯ ลดการนำเข้าจากจีนมากที่สุด สินค้าในกลุ่มนี้เป็นสินค้าวัตถุดิบขั้นต้นและกึ่งสินค้าขั้นกลาง อาทิ HDDs ยางล้อ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องบิน อุปกรณ์โทรศัพท์ อาหารสัตว์เลี้ยง เหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งสหรัฐฯ นำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ลดลงจาก 2.34 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2560 เหลือ 1.3 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2566
- สินค้ากลุ่ม 2 ที่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม 7.5% เป็นสินค้าขั้นกลางและกึ่งสำเร็จรูป อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ สินค้าเกษตรและสิ่งทอ จากผลของภาษีที่ไม่สูงเท่ากลุ่มแรกทำให้สหรัฐฯ นำเข้าลดลงเล็กน้อย จาก 1.0 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2560 เหลือ 0.9 แสนล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2566
- สินค้ากลุ่ม 3 ที่ยังไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมใน Trade War รอบแรก สหรัฐฯ จึงยังมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น เป็นกลุ่มสินค้าสำเร็จรูปในกลุ่มอุปโภคบริโภค อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ค เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า กล้องดิจิทัล เกม ของเล่นและเฟอร์นิเจอร์โดยในปี 2566 มีมูลค่านำเข้า 2.12 แสนล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นจาก 1.67 แสนล้านดอลลาร์ฯ ปี 2560
มีข้อสังเกตว่า สินค้ากลุ่ม 3 ที่สินค้าจีนยังไม่โดนเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจาก Trade War ในรอบแรก แต่สหรัฐฯ ก็มีการนำเข้าจากแหล่งอื่นมากขึ้นไปพร้อมๆ กับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากจีน สะท้อนว่าห่วงโซ่การผลิตโลกได้ปรับตัวรองรับความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าไปแล้ว (รูปที่ 2) สหรัฐฯ ยังมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่มที่ 3 เนื่องจากจีนเป็นฐานการผลิตสินค้าสำเร็จรูปได้ด้วยต้นทุนต่ำ แต่ในขณะเดียวกัน สงครามการค้าและโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการบริหารความเสี่ยงด้วยการกระจายฐานการผลิตไปยังอาเซียนและกลุ่มความตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ซึ่งจะเห็นการนำเข้าของสหรัฐฯ จากเวียดนาม ไทย เม็กซิโกและอินเดียเพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่ม 3 นี้ อาทิ โซลาร์เซลล์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางล้อ ยารักษาโรค รถยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น
• ผลการเลือกสหรัฐฯ ปี 2024 ไม่ว่าพรรคใดชนะ จะสานต่อนโยบายกีดกันการค้ากับจีน ในขณะที่ Trade War รอบใหม่อาจส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก
ในขณะที่พรรคเดโมแครตมีแนวทางการกีดกันทางการค้ากับจีน โดยขึ้นภาษีสินค้าจีนแบบเจาะจงในกลุ่มสินค้ายุทธศาสตร์ พรรครีพับลิกันจะเป็นการสานต่อ Trade War รอบใหม่ โดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนแบบครอบคลุม นอกจากนี้ หากประเทศใดถอยออกจากการใช้เงินสกุลดอลลาร์ฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มอีก 100% ทั้งนี้ หากเกิด Trade War รอบใหม่ สินค้าในกลุ่มที่ 3 ที่ยังไม่เคยโดนเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มจากสงครามการค้ารอบแรกจะได้รับผลกระทบมากที่สุด (รูปที่ 3) และมีแนวโน้มจะเกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก
• หากมีการย้ายฐานการผลิตอีกระลอก ไทยน่าจะได้อานิสงส์บางส่วนจากอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเดิมอยู่แล้ว
สินค้าในกลุ่ม 3 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูป ที่ต้องพึ่งพาจุดแข็งในด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำของจีน ซึ่งเวียดนามและเม็กซิโกน่าจะได้รับประโยชน์มากสุด
- เวียดนามได้อานิสงส์ในสินค้ามีมูลค่าเพิ่มอย่างโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน หูฟัง ของเล่นและเฟอร์นิเจอร์
- เม็กซิโกได้ประโยชน์ในกลุ่มรถกระบะ รถบรรทุกและชิ้นส่วน และเฟอร์นิเจอร์
- ไทยน่าจะได้อานิสงส์ในกลุ่มที่มีการลงทุนอยู่เดิม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ ชิ้นส่วนกล้องดิจิทัล ถุงมือการแพทย์ ถุงมือยาง น้ำผลไม้ อุปกรณ์โทรทัศน์ PCA และของเล่น เป็นต้น
โดยสรุป นโยบายกีดกันทางการค้า Trade War รอบใหม่ของสหรัฐฯ แม้ว่าในทางปฏิบัติจะได้รับคะแนนนิยมทางการเมือง และยังใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรองกับจีนและนานาประเทศเพื่อให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์ทางการค้ามากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ มากเช่นกัน ยังไม่นับรวมกับผลกระทบกรณีมีการตอบโต้ด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าจากหลายๆ ประเทศ ที่ยิ่งจะส่งผลกระทบทางลบที่มากขึ้นต่อทิศทางการค้าและเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ไทยในฐานะเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนก็คาดว่า หากเกิดการย้ายฐานการผลิตอีกระลอก ไทยคงจะได้รับอานิสงส์เพียงบางส่วน เนื่องจากในสินค้ากลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมากที่สุดนั้น ไทยมีข้อได้เปรียบที่จำกัดจากเรื่องต้นทุนการผลิต เมื่อเทียบกับเวียดนามและเม็กซิโก
----
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/Tradewar-CIS3531-FB-28-10-24.aspx
© Copyright 2020, All Rights Reserved