16/5/2024
เว็บไซต์ผู้จัดการรายงานว่า การเรียกร้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ครั้ง สังคมอาจมองเห็นบรรยากาศของการทะเลาะเบาะแว้ง เพื่อให้อีกฝ่ายสมประโยชน์ โดยครั้งนี้ ฝ่ายลูกจ้างต้องการให้ปรับเป็น 400 บาทพร้อมกันทั้งประเทศ ซึ่งมีเครือข่าย สหภาพฯ หรือสมาคมฯ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกจ้างเป็นหัวหอกสำคัญในการเรียกร้อง ส่วนนายจ้าง จะมีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เป็นเสาหลัก โดยมีสมาชิกทั่วประเทศทั้งตัวแทนหอการค้า สมาคมการค้า สภาองค์การนายจ้างฯ ผู้ประกอบการต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต่างก็ออกมาคัดค้านการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ
ทั้งนี้ฝ่ายลูกจ้างและนายจ้าง ต่างก็มีข้อมูลที่เป็นตัวเลข สถิติ ต่างๆ ที่เป็นเหตุเป็นผลเพื่อมาหักล้าง ส่วนตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่คณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คนเท่ากัน
อย่างไรก็ดี ทางสภาอุตฯ สภาหอฯ และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท แต่ไม่เห็นด้วยที่จะมีการขึ้นค่าจ้างเท่ากันทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400บาท เป็นการปรับในครั้งที่ 3 ของปี 2567 จะมีผลในวันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้
แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงาน ระบุว่า การปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ ต้องย่อมรับว่า ฝ่ายการเมืองสมประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะตัวเลขสุดท้ายคาดว่าจะออกมา 400 บาททั่วประเทศ หลังจากมีมติให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ทุกจังหวัดไปพิจารณา ศึกษา และสรุปตัวเลขมาว่าควรเป็นเท่าไหร่เพื่อเสนอมาที่คณะกรรมการค่าจ้างต่อไป ส่วนแรงงานก็ได้ประโยชน์จากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นแต่ไล่ตามสินค้าที่ขึ้นก่อนแล้ว
“พรรคเพื่อไทยหาเสียงค่าแรงขั้นต่ำ ไว้ที่ 600 บาททั่วประเทศภายในปี 2570 แต่ไม่ได้บรรจุไว้ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล จึงถูกพรรคก้าวไกลทวงถามในสภา ถ้าจำกันได้ นายกเศรษฐา ตอบทันทีว่าจะไปเจรจากัน 3 ฝ่าย คือผู้ว่าจ้าง แรงงานและรัฐบาล มีเป้าหมายขั้นต่ำที่ 400 บาท จะทำโดยเร็วที่สุด ส่วนก้าวไกล หาเสียงไว้ที่ 450 บาท แต่พรรคภูมิใจไทยไม่ได้หาเสียงค่าแรงขั้นต่ำ”
ดังนั้นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายการเมืองต้องทำให้ได้ เพื่อช่วงชิงฐานเสียงจากบรรดาผู้ใช้แรงงาน ประกอบกับพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลมีแนวโน้มว่านโยบายธงนำ ที่ใช้ในการหาเสียงดูเหมือนว่าจะขับเคลื่อนได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท แถมยังมาโดนโจมตีเรื่องของ การปรับ ครม.เศรษฐา 1/1, เรื่องการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อย่างต่อเนื่อง หรือเรื่องข้าว 10 ปี ยังทานได้ รวมทั้งการแก้วิกฤตเศรษฐกิจที่สังคมคาดหวังไม่ได้เป็นไปตามเป้า จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างผลงานที่จับต้องได้อย่างรวดเร็วเพราะไม่เช่นนั้นจะยิ่งเสียมวลชนไปในที่สุด
สำหรับพรรคภูมิใจไทย แม้ไม่ได้หาเสียงการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ในฐานะเป็นเจ้ากระทรวงแรงงานก็ต้องสร้างคะแนนเสียงจากภาคแรงงาน เพื่อมาชดเชยจากการโดนพรรคเพื่อไทยทุบเรื่องของกัญชาเสรีนำกลับไปเข้าในบัญชียาเสพติด ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทย ก็ต้องผลักดันค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศให้ได้เช่นกัน
“พรรคก้าวไกล ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าแรง 400 เท่ากันทั่วประเทศ เขาสนับสนุนอยู่แล้ว เพราะเป็นพรรคที่เน้นเรื่องของความเท่าเทียมกัน และเป็นพรรคที่สู้เพื่อคนระดับล่างที่ไม่ต้องการให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากบางกลุ่ม”
ส่วนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ที่เกิดขึ้น จึงเป็นการปรับตามนโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองโดยใช้การเมืองเป็นธงนำ ไม่ใช่เป็นการปรับจากความเป็นเหตุเป็นผล ในเรื่องของภาพรวมทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ของประเทศ
“GDP ของประเทศไม่ใช่โต 4-5% แต่อยู่ที่ 2.2% กว่า ๆ เพราะเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิม ส่งออกมีแนวโน้มเติบโตเพียง 0.5-1.5% ตามทิศทางตลาดโลกที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยังมีเรื่องเงินเฟ้อ เวลานี้คงหวังเรื่องท่องเที่ยว และการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้น”
แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงาน บอกอีกว่า ทาง 3 สมาคม ก็ได้ส่งเอกสารที่เป็นข้อเสนอและความเห็นต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ซึ่งระบุว่าไม่ได้คัดค้านขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท แต่ไม่เห็นด้วยที่จะขึ้น 400 บาททั่วประเทศ พร้อมเสนอ 5 แนวทางไปให้รัฐบาล กระทรวงแรงงานและคณะกรรมการค่าจ้างพิจารณา เพื่อหาแนวทางการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เหมาะสมกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และมาตรการช่วยเหลือภาคแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต่อไป
“ฟังดูภาคเอกชนเป็นห่วง ต้องการให้รัฐบาลพิจารณาแบบรอบคอบ เพราะการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ไม่ใช่เฉพาะแรงงานไทยได้นะ แรงงานต่างด้าวก็ต้องได้ทุกคนเช่นกัน ซึ่งการปรับค่าแรงไม่ใช่เดิมพันด้วยคะแนนเสียง แต่มันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจ ถ้าขึ้นค่าแรงจนผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ ก็จะยิ่งซ้ำเติม ต้องปิดกิจการ แรงงานก็ต้องตกงานตามมา ทุกฝ่ายต้องหาทางออกร่วมกัน”
ด้าน นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย บอกว่าเรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง มีมติให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด เป็นผู้พิจารณาว่าแต่ละจังหวัดจะมีการขึ้นค่าจ้างในอัตราเท่าไหร่ เพราะเหตุใด และให้กำหนดวันที่จะบังคับใช้จะเป็น 1 ตุลาคม 2567 หรือ 1 มกราคม 2568 โดยให้ส่งเรื่องทั้งหมดเข้ามายังบอร์ดค่าจ้างภายในเดือนกรกฎาคมนี้
จากนั้นคณะกรรมการค่าจ้างหรือบอร์ดค่าจ้าง จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทอย่างไร โดยต้องมีปัจจัยต่าง ๆ สนับสนุน ซึ่งเวลานี้ค่าครองชีพสูงขึ้นมาก และเงินเฟ้อติดลบไปอีก จึงส่งผลให้สินค้าต่าง ๆ ขึ้นราคาไปหมดแล้ว ต้นทุนการผลิตก็เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งรัฐบาลก็ต้องดูและแก้ไขทั้งภาคแรงงานและภาคประชาชนไปพร้อม ๆ กัน
“ตอนนี้เราอยากให้รัฐลดค่า VAT จาก 7% เหลือเพียง 4 หรือ 5% ไปสักระยะหนึ่งก่อน จะกี่เดือนให้รัฐกำหนดมาเลยจะช่วยภาคประชาชนได้เยอะมาก”
นายมนัส บอกว่า ตัวเลขการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทนั้น จริง ๆไม่ใช่ตัวเลขที่ฝ่ายลูกจ้างขอไป แต่เป็นตัวเลขของรัฐบาล ซึ่งในฐานะประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานฯ ได้เสนอขอไปเป็นค่าจ้างขั้นต่ำแรกเข้าและขอให้มีโครงสร้างขององค์กรที่จะมีการปรับทุกปี ตามอัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ไม่เช่นนั้นก็ต้องมาเรียกร้องกันทุกปี ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะถ้ามีโครงสร้าง มีการส่งเสริมให้แรงงานมี Upskill และ Reskill ซึ่งเป็นเหตุผลที่ในแต่ละอาชีพจะสามารถใช้ในการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างได้ด้วย
“เราขอให้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างแรกเข้า จัดทำโครงสร้างค่าจ้างประจำปีในสถานประกอบการ เพื่อให้การปรับค่าจ้างมีความชัดเจนที่มีหลักการพิจารณาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ บริบทต่าง ๆ เพื่อให้ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ เราขอไปแต่ไม่เคยได้ ก็เลยต้องมาเรียกร้องให้ปรับค่าจ้างกันทุกปี ส่วนรัฐบาลก็ต้องการสร้างผลงานหาเสียงไว้ที่ 600 ทั่วประเทศ”
นายมนัส ย้ำว่า ปัจจุบันถ้าจะกำหนดค่าจ้างแรกเข้าโดยใช้ขั้นต่ำที่ 400 บาท ตามตัวเลขของรัฐบาลเพื่อไทยที่เสนอปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนปีต่อ ๆ ไปจะขึ้นเท่าไหร่ก็ต้องมาดูเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ เป็นหลักในการพิจารณา พร้อมจัดประเภทกิจการส่งเสริมให้แรงงานพัฒนาทักษะ มีโครงสร้างประจำปี ให้การปรับค่าแรงลื่นไหลตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเป็นระบบ น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่ามาเรียกร้องขึ้นค่าแรงกันทุกปี วงเวียนแบบนี้ไม่จบสิ้น
ขณะเดียวกันหากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้ ไม่สามารถได้ 400 บาททั่วประเทศนั้น รัฐบาลและคณะกรรมการค่าจ้าง ก็ต้องตอบคำถามและอธิบายเหตุผลว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้ได้หรือไม่ได้อย่างไร และทำไมจังหวัดนี้ได้ จังหวัดนี้ไม่ได้ เมื่อเขาต้องซื้อสินค้าราคาเท่ากันไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใด
“ผมเป็นผู้นำแรงงานก็จริง แต่ผมก็ต้องฟังหลายฝ่ายเหมือนกัน ย้ำนะเมื่อผมเป็นผู้นำแรงงาน ก็ต้องช่วยแรงงานเต็มที่” ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย ระบุ
IMCT News
ที่มา https://mgronline.com/specialscoop/detail/9670000042132