ขอบคุณภาพจาก RT
29/8/2024
บรรดานักลงทุนเริ่มหันมาตลาดอาเซียนเป็นจุดหมายถัดไป ทิ้งให้สหรัฐอยู่ข้างหลัง เพราะวิตกว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐอาจซบเซาและแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อบรรดานักลงทุน พวกเขาจึงพากันเฮโลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่อย่างอาเซียน เพื่อหาฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
อีกทั้งการคาดการณ์ว่า สหรัฐจะลดดอกเบี้ย ก็มีส่วนทำให้นักลงทุนและภาคการค้าขายหันมาสำรวจโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นอาเซียนดีดขึ้น ต้อนรับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ที่เข้ามาในวงจรเศรษฐกิจ
เดือนกันยายนที่ใกล้เข้ามา จะยิ่งเห็นตลาดหุ้นเอเชียพุ่งขึ้นอีก เพราะคาดว่า สหรัฐจะลดดอกเบี้ยในเดือนนั้น จากถ้อยแถลงเมื่อไม่นานมานี้ ของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เน้นย้ำว่า กำลังพิจารณาปรับนโยบาย ก็ยิ่งทำให้หลายคนมองว่า การลดดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นจริงๆ
หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Phillip Securities Research บอกกับ เอเชีย นิกเคอิ ว่า จากการสอบถามบรรดานักลงทุน พวกเขาเห็นผลประโยชน์ที่จะได้จากตลาดหุ้นมาเลเซีย มาเลเซียมีการปฏิรูปโครงสร้างต่างๆ ที่ยังดำเนินการอยู่ มีหลายแนวคิดที่จะดันการลงทุนให้เพิ่มขึ้นในประเทศ เช่น ศูนย์ข้อมูล
การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐยังดันให้นักลงทุนหาทางเลือกอื่นในการค้าขายที่สมเหตุสมผล อย่างอาเซียนที่ยังคงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้อย่างดีเยี่ยม และสิ่งนี้ ก็ทำให้ตลาดหุ้นมาเลเซียมีการซื้อขายที่คึกคัก
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เตือนสหรัฐว่า ประเทศกำลังเข้าใกล้หนี้สินที่พุ่งขึ้นเท่าตัว การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ จะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อภูมิภาคให้มากขึ้น ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอการเติบโต โดยอาจขยายตัวที่ 1.9% เท่านั้นในปี 2025 หนี้สินของสหรัฐปัจจุบันอยู่ที่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,200 ล้านล้านบาท เป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศมีปัญหา
บทวิเคราะห์จาก The Kobeissi Letter ระบุสถานการณ์หนี้ของสหรัฐย่ำแย่ถึงขั้นที่ว่า ตัวเลขดอกเบี้ยสุทธิจากหนี้สินของสหรัฐ คาดว่า จะอยู่ที่ 6.3% ของจีดีพี มากกว่าเกือบ 3 เท่า ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่ายด้านการทหารซึ่งจะอยู่ที่ 2.3% ของจีดีพีเท่านั้น ก่อนปี 2054
และถ้าเทียบย้อนกลับไปในอดีต ก็จะพบว่า ตั้งแต่ปี 1973 สหรัฐมีดอกเบี้ยสุทธิจากหนี้ เฉลี่ยแค่ 2.1% ของจีดีพีเท่านั้น หรือแค่ 1 ใน 3 ของตัวเลขเดียวกันนี้ ที่จะเกิดภายในปี 2054
สหรัฐมีดอกเบี้ยจากหนี้สินคาดว่า จะพุ่งไปอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2034 สูงกว่า 2.6 เท่า จากตัวเลขเดียวกันนี้ซึ่งอยู่ที่ 658,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2024
ดังนั้น วิกฤติหนี้ในสหรัฐขณะนี้ จึงดูเหมือนปัญหาที่ถูกมองข้าม แต่สิ่งนี้ กำลังกระทบกับพฤติกรรมการจับจ่ายของคนอเมริกัน และผลกระทบในเชิงลบต่อการดำเนินชีวิตและการสร้างความสุขของพวกเขาด้วย
The Kobeissi Letter ยังระบุผลสำรวจความคิดเห็นเมื่อไม่นานมานี้ ที่พบว่า คนอเมริกัน 55% เชื่อว่า พวกเขาอยู่ในภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจแล้ว หลายคนต้องทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน จึงจะมีเงินเพียงพอในการดำเนินชีวิต การเป็นเจ้าของบ้านสักหลังกลายเป็นความหรูหราสุดแล้วในสังคมอเมริกันยุคนี้
เงินเฟ้อพุ่งเกิน 3% ติดต่อกัน 39 เดือน ประมาณ 9% ของหนี้บัตรเครดิต เกิดการค้างชำระเมื่อปีที่แล้ว ตลาดบ้านที่พอซื้อได้ซบเซาสุดเป็นประวัติการณ์ ความต้องการเอาบ้านไปจำนองก็อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี และดอลลาร์สหรัฐก็มีอำนาจซื้อหายไปถึง 25% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้ ไม่ใช่เศรษฐกิจขาลงแบบนุ่มนวล หรือ Soft Landing อย่างที่หลายฝ่ายอยากให้เป็น
เศรษฐกิจสหรัฐดูซบเซา แต่ในเวลาเดียวกัน ไอเอ็มเอฟกลับคาดการณ์ว่า อาเซียนจะมีเศรษฐกิจคึกคัก โดยคาดว่า เศรษฐกิจมาเลเซียจะขยายตัว 4.4% อินโดนีเซียขยายตัว 5.1% และฟิลิปปินส์ขยายตัว 6.2%
By IMCT News
อ้างอิงจาก https://watcher.guru/news/investors-pivot-to-asean-amid-weak-us-data-assumptions