ขอบคุณภาพจาก xinhua
29/05/2024
Yahoo Finance รายงานถึงสถานการณ์ด้านงบประมาณแผ่นดินของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่จากเดิมเคยใช้งบประมาณด้านกลาโหมมากที่สุดในโลกมายาวนาน ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่เกือบ 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่อีกด้านหนึ่ง การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่กำลังขยายออกไปอย่างรวดเร็วที่่สุดในขณะนี้ กลับเป็นการชำระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของประเทศ
ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2024 ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว (2023) การจ่ายดอกเบี้ยสุทธิของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมสูงถึง 514,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แซงหน้างบประมาณด้านกลาโหมที่อยู่ที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์งบประมาณคาดว่า แนวโน้มดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไป ทำให้ปี 2024 เป็นปีแรกที่สหรัฐฯ จะใช้จ่ายงบประมาณไปกับการชำระดอกเบี้ยมากกว่าการป้องกันประเทศ
เมื่อสองปีที่แล้ว การชำระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ใช้เงินงบประมาณมากเป็นอันดับ 7 รองจากประกันสังคม, โครงการด้านสุขภาพนอกเหนือจาก Medicare, ความช่วยเหลือด้านรายได้, การป้องกันประเทศ, Medicare และการศึกษา แต่ขณะนี้กลับทะยานขึ้นมาเป็นรายจ่ายอันดับสาม รองจากประกันสังคมและโครงการด้านสุขภาพ
แม้ว่ารายจ่ายภาครัฐส่วนใหญ่จะเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยในทุกปี แต่การชำระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะในปีนี้ (2024) ก็ยังสูงกว่าปีที่แล้ว (2023) ถึงร้อยละ 41
สำหรับการชำระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลสองประการที่ชัดเจน ประการแรกคือการขาดดุลประจำปีที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ประเทศมีหนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางรวมสูงถึง 34.6 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่าหนี้ของประเทศเมื่อช่วงสิ้นปี (2010) ถึงร้อยละ 156
ในทศวรรษที่ 1990 การขาดดุลของรัฐบาลกลางโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 138,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ส่วนในช่วงปี 2000 มีมูลค่า 318,000 ล้านดอลลาร์ และในปี 2010 มีมูลค่า 829,000 ล้านดอลลาร์ โดยตั้งแต่ปี 2020 การขาดดุลประจำปีเพิ่มขึ้นเป็น 2.24 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 และ 2021 ขณะที่การคาดการณ์สำหรับปี 2024 คือขาดดุล 1.5 ล้านล้านดอลลาร์
เมื่อคิดเป็นร้อยละของ GDP การขาดดุลรายปีเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในเวลาเพียง 10 ปี จากร้อยละ 2.8 ในปี 2014 เป็นร้อยละ 5.3 ที่คาดการณ์ไว้ในปี 2024 จึงมีการกู้ยืมเพื่อจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกมาก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ส่งผลต่องบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ซื้อบ้านและรถยนต์ โดยสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์เมื่อมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ และรับภาระหนักขึ้นเมื่อมีอัตราดอกเบี้ยสูง
ตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2021 อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของหลักทรัพย์การคลังทั้งหมดของสหรัฐฯ ที่ขายให้กับสาธารณะอยู่ที่เพียงร้อยละ 2.1 ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการการจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดได้ แต่ในปี 2022 ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด เริ่มเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ และตอนนี้รัฐบาลจ่ายอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ดังนั้นจำนวนเงินที่ยืมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งดอกเบี้ยและต้นทุนในการกู้ยืมเงิน
สำหรับสถานการณ์ดังกล่าวที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องใช้จ่ายเงินภาษีไปกับการชำระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะ ในที่สุดจะทำให้งบประมาณสำหรับกิจการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในด้านอื่นๆ ร่อยหรอ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง กระทรวงการคลังจะไม่สามารถกู้ยืมเงินเพื่อแก้ไขปัญหาได้อีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือทางเครดิตของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และเรียกร้องอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในการซื้อหลักทรัพย์การคลังต่อไป
IMCT News