เปิดศึกมุมมองอนาคตดอลลาร์! ปีเตอร์ ชิฟฟ์ ชี้วิกฤติเริ่มปี 68 สวนทางมอร์แกนสแตนลีย์เชื่อยังแกร่ง
7/11/67
ท่ามกลางความกังวลเรื่องอนาคตของดอลลาร์สหรัฐ มอร์แกน สแตนลีย์ วาณิชธนกิจชั้นนำระดับโลก ยืนยันว่าดอลลาร์สหรัฐจะยังคงสถานะสกุลเงินหลักของโลก พร้อมชี้ 3 เหตุผลสนับสนุน ขณะที่ปีเตอร์ ชิฟฟ์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังกลับมองต่าง เตือนวิกฤติดอลลาร์อาจเริ่มต้นในปี 2568
มอร์แกน สแตนลีย์ วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ยืนยันดอลลาร์สหรัฐยังครองสถานะสกุลเงินชั้นนำของโลก แม้เผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน พร้อมชี้ 3 เหตุผลหลักที่ไม่มีสกุลเงินใดท้าทายได้ในเร็ววัน ขณะที่การใช้งานสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) มีแนวโน้มพุ่งสูงถึง 2,430% ภายในปี 2574
โดยมอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่า แม้หลายฝ่ายกังวลว่าดอลลาร์สหรัฐอาจถูกโค่นจากการเป็นสกุลเงินอันดับหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะจากเงินหยวน เงินเยน หรือสกุลเงินร่วมของกลุ่ม BRICS แต่ดอลลาร์สหรัฐจะยังคงความเป็น "ราชาแห่งสกุลเงิน" ด้วย 3 เหตุผลสำคัญ
เหตุผลแรก เงินหยวนยังไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะท้าทายดอลลาร์ได้ เนื่องจากจีนยังควบคุมการไหลเวียนเงินทุนอย่างเข้มงวด ประกอบกับเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัว ความต้องการผู้บริโภคซบเซา และวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ยังกดดัน
เหตุผลที่สอง ความกังวลเรื่องหนี้สินสหรัฐไม่ส่งผลกระทบต่อดอลลาร์มากนัก เพราะยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีสภาพคล่องสูงในระยะยาว และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความน่าเชื่อถือในการควบคุมเงินเฟ้อ
เหตุผลที่สาม เงินคริปโตยังไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม แม้จะมีสภาพคล่อง แต่ความผันผวนสูงเกินกว่าจะใช้แทนดอลลาร์สหรัฐได้
อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์ ชิฟฟ์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังกลับมีมุมมองตรงข้าม โดยเตือนว่าวิกฤติดอลลาร์อาจเริ่มต้นในปี 2568 พร้อมคาดการณ์ว่าดัชนี DXY ซึ่งใช้วัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก จะต่ำกว่า 90 จุด เนื่องจากกลุ่ม BRICS พยายามลดการพึ่งพาดอลลาร์และพัฒนาระบบชำระเงินของตนเอง
ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาล่าสุดจาก Juniper Research พบว่า การใช้งานสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ CBDC จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 307.1 ล้านรายในปี 2567 เป็น 7,800 ล้านรายในปี 2574 หรือเพิ่มขึ้น 2,430%
ปัจจุบันมี 134 ประเทศที่กำลังพัฒนาระบบ CBDC คิดเป็น 98% ของระบบการเงินโลก โดย 66 ประเทศอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนา และมี 44 โครงการทดสอบที่กำลังดำเนินการ นำโดยดิจิทัลหยวนของจีนและดิจิทัลยูโรของยุโรป
รายงานระบุว่า การใช้ CBDC ในการชำระเงินข้ามแดนจะช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมได้ถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2574 โดยธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) จะเข้ามามีบทบาทในการวางกฎระเบียบเพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า แม้ระบบการเงินโลกจะเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีและความต้องการใหม่ๆ แต่การที่สกุลเงินอื่นจะขึ้นมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี เพื่อให้ชาวโลกได้ปรับตัวและมั่นใจในความปลอดภัยของระบบใหม่
IMCT NEWS
ที่มา
https://watcher.guru/news/brics-u-s-dollar-crisis-could-begin-in-2025#google_vignette
https://watcher.guru/news/central-bank-digital-currencies-set-to-surge-2430-by-2031