ขอบคุณภาพจาก Depositphotos.com
9/10/2024
The Statesman แสดงทรรศนะต่อจุดยืนของอินเดียต่อประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียใต้ โดยระบุว่า แม้ในด้านภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อนบ้านไม่สามารถเลือกได้และต้องได้รับการจัดการ แต่อินเดียพยายามรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านส่วนใหญ่มาหลายปี
พรมแดนที่ไม่แน่นอนกับปากีสถานและจีนทำให้แนวร่วมทั้งสองยังคงทำงานอยู่เสมอ ท่ามกลางความพยายามที่อินเดียจะสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียใต้ โดยให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนเมื่อจำเป็น
นโยบาย 'เพื่อนบ้านต้องมาก่อน' ของอินเดียซึ่งนำมาใช้ในปี 2008 มีเป้าหมายเพื่อเอาชนะใจเพื่อนบ้าน ในขณะเดียวกันก็ขจัดความกลัวว่านิวเดลีจะเป็นพี่ใหญ่ที่มีอำนาจเหนือกว่า นโยบายนี้ได้รับการยอมรับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจอินเดียเติบโตและประเทศเริ่มมีบทบาทสำคัญในการเมืองโลก
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้เชิญผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดเข้าร่วมพิธีสาบานตนในปีนี้ (2024) นอกจากนี้ก็ยังได้พบปะกับผู้นำแต่ละประเทศเป็นรายบุคคล ภายใต้นโยบายนี้ อินเดียตั้งใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรและเป็นประโยชน์ร่วมกันกับเพื่อนบ้านโดยเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่กระตือรือร้น
นอกจากนี้ อินเดียก็ยังให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและมีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ ในประเทศเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน แต่อย่างไรก็ตาม SAARC ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่สำคัญของเอเชียใต้กลับยังคงหยุดชะงัก เนื่องจากข้อพิพาทเรื่องอินเดีย-ปากีสถานและการสนับสนุนการก่อการร้ายของปากีสถาน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของอินเดียในฐานะพี่ใหญ่ได้กลายมาเป็นอุปสรรคต่อประชากรทั่วไปในประเทศเพื่อนบ้าน เป้าหมายของการนำนโยบายเพื่อนบ้านมาเป็นอันดับแรกนั้นมีหลายประการ ประการสำคัญที่สุดคือเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนที่เพิ่มมากขึ้นในเอเชียใต้ แต่การดำเนินการดังกล่าวกลับล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเพื่อนบ้านของอินเดียทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ของจีน
ประการที่สอง คือ การจัดการกับภัยคุกคามจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่เกิดขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้านของอินเดียที่ยังประสบปัญหาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีรัฐบาลต่อต้านอินเดีย/รัฐบาลที่อ่อนแอเกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียง
และประการที่สาม คือ การรักษาความมั่นคงของพรมแดนทางทะเล ความสำเร็จของการดำเนินการดังกล่าวยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน เนื่องจากเรือสอดแนมของจีนได้รับการต้อนรับในมัลดีฟส์และที่ท่าเรือฮัมบันโตตาในศรีลังกา ในอนาคต เรือเหล่านี้จะได้รับอนุมัติให้จอดเรือในบังกลาเทศหรือไม่นั้น ยังต้องรอดูกันต่อไป
ด้านผู้นำทางการเมืองในละแวกบ้านของอินเดียได้ใช้ไพ่ต่อต้านอินเดียเพื่อชนะการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับอินเดีย ในมัลดีฟส์ โมฮัมหมัด มูอิซซู ขึ้นสู่อำนาจด้วยแคมเปญ "อินเดียออกไป" (India Out)
ส่วนในเนปาล เคพี ชาร์มา โอลิ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้หยิบยกข้อพิพาทเรื่องดินแดนขึ้นมาเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ขณะที่บังกลาเทศ ความรู้สึกต่อต้านอินเดียกำลังเพิ่มสูงขึ้นจากการขับไล่รัฐบาลของเชค ฮาซินาและการลี้ภัยทางการเมืองในปัจจุบันของเธอในนิวเดลี ด้วยการที่ประชาชนทำลายรูปปั้นของผู้ก่อตั้ง เชค มูจิบูร์ เรห์มัน และเรียกร้องให้คืนรูปปั้นของจินนาห์ บรรยากาศต่อต้านอินเดียย่อมเลวร้ายลงอย่างแน่นอน ซึ่งขณะเดียวกัน เมียนมาก็กำลังตกอยู่ในความโกลาหล ส่งผลให้ปัญหาในตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเพิ่มมากขึ้น
ด้านผู้นำฝ่ายซ้ายล่าสุดในรายชื่อที่ปรากฏในพื้นที่ใกล้เคียงคือ อนุรา กุมารา ดิศนายาเก นักการเมืองฝ่ายซ้ายที่เพิ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของศรีลังกา โดยที่การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในเดือนพฤศจิกายนนี้ (2024) แต่ถึงแม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลจะมีรูปแบบอย่างไร อินเดียมักจะแสดงออกเสมอว่าเคารพการเลือกของประชาชนและจะร่วมมือกับใครก็ตามที่มีอำนาจ ทำให้การต่อต้านอิทธิพลของจีนนั้นยากขึ้น
แม้ว่าผู้นำที่สนับสนุนจีนในละแวกบ้านของอินเดียจะตระหนักดีว่า อินเดียเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด แต่ประชาชนกลับไม่รู้จะทำอย่างไร เนปาลไม่สามารถอยู่รอดได้หากไม่ค้าขายกับอินเดีย กาฐมาณฑุจึงต้องรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับนิวเดลี
นายกรัฐมนตรีของเนปาลทุกคนตระหนักดีว่าการสนับสนุนทางการเงินและโครงการพัฒนาของอินเดียมีความจำเป็นต่ออนาคตของพวกเขา ขณะที่สำหรับประชาชนแล้ว อินเดียยังคงเป็นประเทศที่มีอำนาจเหนือประเทศและพยายามบังคับใช้เจตจำนงของตนเอง โดยไม่เต็มใจที่จะหารือเกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องดินแดน
ส่วนในมัลดีฟส์ เรื่องราวที่แพร่หลายออกไปในระหว่างการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดคือ การที่ทหารอินเดียมีอยู่เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตย แต่กลับเป็นอินเดียที่มัลดีฟส์หันไปขอความช่วยเหลือเพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ ไม่ใช่จีน
เมื่อไม่นานนี้ อินเดียได้ลงนามในตั๋วเงินคลังมูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ของมัลดีฟส์ตามคำขอของพวกเขา ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวกล่าวว่า “สิ่งนี้ทำให้ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประเทศของเราแข็งแกร่งขึ้น และเสริมสร้างเส้นทางสู่เสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจของเรา”
ขณะเดียวกัน ในช่วงที่วิกฤตการเงินของศรีลังกาถึงจุดสูงสุด อินเดียได้ยื่นความช่วยเหลือให้ประเทศด้วยเงินกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อการประชุมพันธมิตรของอินเดียทั้งหมดที่โคลัมโบในเดือนมิถุนายนปีนี้ (2024) ซึ่งประธานาธิบดีวิกรมสิงเห ผู้นำในขณะนั้นกล่าวว่า “หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาสองปีแล้ว ฉันต้องยอมรับว่าสิ่งนี้เป็นไปได้เพราะอินเดียให้เงินกู้ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แก่เรา”
อย่างไรก็ตาม ศรีลังกายังคงมองอินเดียด้วยความสงสัย โดยเชื่อว่าอินเดียกำลังผลักดันวาระของตนเพื่อสนับสนุนกลุ่มเฉพาะ และความช่วยเหลือก็มีเงื่อนไข ขณะที่ในบังกลาเทศ การสนับสนุนอย่างไม่ลดละของอินเดียต่อระบอบการปกครองของเชค ฮาซินา รวมถึงการลังเลใจที่จะแก้ไขข้อพิพาทเรื่องน้ำในเขตทีสตา ทำให้นิวเดลีดูเป็นเมืองที่มีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในบังกลาเทศ ถูกตำหนิว่าเป็นเพราะอินเดียปล่อยน้ำโดยไม่ได้แจ้งเตือนล่วงหน้า
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อินเดียได้ลงทุน 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในโครงการพัฒนาต่างๆ และยังให้เงินช่วยเหลือแก่หลายๆ ประเทศ ปัจจุบันมีโครงการต่างๆ มากมายที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งมูฮัมหมัด ยูนุส ผู้นำรักษาการของบังกลาเทศตระหนักดีว่าพวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่ออินเดียได้ จากการที่เป็นประเทศที่รายล้อมพวกเขาอยู่สามด้าน
อย่างไรก็ตาม ในหมู่ประชาชน ความรู้สึกต่อต้านอินเดียกลับยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นของรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย ดร.เอส ไจแชนการ์ หลังการประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศบังคลาเทศในนครนิวยอร์กเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังของอินเดีย ซึ่งดูเหมือนว่าอินเดียจะอยู่ในภาวะรอและดูสถานการณ์ หากบังกลาเทศไม่ดำเนินการเพื่อป้องกันการโจมตีชนกลุ่มน้อย อินเดียก็จะไม่ก้าวไปข้างหน้า
สำหรับอินเดียประสบความสำเร็จในเนปาลเท่านั้นต่อการหยุดยั้งกับดักหนี้ของจีน จากโครงการสนามบินโปขราเป็นการปลุกให้เนปาลตื่น เพราะโครงการนี้ไม่สามารถดำเนินการทางการเงินได้ และยังคงเป็นหนี้จีนอยู่ถึง 215 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนประเทศอื่นๆ ที่เข้าร่วม BRI ล้วนเป็นหนี้จีนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นอิทธิพลของจีนจึงยังคงดำเนินต่อไปทั่วทั้งภูมิภาค
แม้จะมีการสนับสนุนและช่วยเหลือจากอินเดีย แต่ประชากรในเอเชียใต้กลับมองว่าจีนมีอำนาจเหนือกว่า สาเหตุหลักเป็นเพราะนิวเดลีล้มเหลวในการใช้ประโยชน์จากอำนาจอ่อนของอินเดียและไม่สามารถนำเสนอผลประโยชน์ที่ได้จากการร่วมมือกับอินเดียผ่านการสื่อสารทางสื่อเชิงกลยุทธ์ได้ ในทางกลับกัน จีนให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการให้เสร็จสิ้นราวกับว่าเป็นเงินช่วยเหลือ ขณะที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเงินกู้จาก BRI เท่านั้น ไม่ใช่เงินช่วยเหลือแต่อย่างใด
IMCT News
ที่มา https://asianews.network/india-must-review-terms-of-south-asian-engagements/