21/3/2024
สหรัฐและจีนต่างก็รู้ดีในใจด้วยกันว่าโครงสร้างความสัมพันธ์หรือผลประโยชน์ร่วมที่สร้างกันมาไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ในรูปแบบเดิมที่ร่วมสร้างกันมาตั้งแต่เติ้ง เสี่ยวผิงเปิดประเทศจีนในปี 1979
สหรัฐสร้างจีนให้ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจเพื่อแลกกับการที่จีนช่วยถ่วงดุลกับรัสเซีย และแบกภาระการอุ้มดีมานด์เทียมของดอลลาร์ควบคู่กับเปโตรดอลลาร์ ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐเพื่อให้ผู้บริโภคสหรัฐสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ของถูกๆมาใช้ ซึ่งช่วยทำให้ให้เงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ในระดับที่ต่ำ
รัฐบาลสหรัฐสามารถก่อหนี้เหมือนกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ผ่านการดำเนินนโยบายขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ต้องมีการเพิ่มปริมาณดอลลาร์เข้าไปในระบบเรื่อยๆ เมื่อมีดอลลาร์เพิ่มขึ้นในขณะที่สินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจมีเท่าเดิมเท่ากับว่าของทุกอย่างจะมีราคาแพงขึ้นและดอลลาร์จะมีค่าที่อ่อนลง
จีนและประเทศผู้ถือครองดอลลาร์เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจึงอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะว่ายิ่งถือดอลลาร์ที่ถูกสร้างให้มีดีมานด์เทียมนานยิ่งจะเสียเปรียบหรือจนลง เพราะว่าต้องขายสินค้าที่จับต้องได้แลกกับกระดาษดอลลาร์ นอกจากนี้ สหรัฐเล่นก่อหนี้ไม่เลิกพิมพ์เงินเพิ่มไม่อั้น อย่างไรก็ดี สหรัฐยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และดอลลาร์เป็นเงินสกุลที่ใช้ง่าย ไม่ว่าจะไปที่ไหนในโลกก็รับดอลลาร์ท้ังนั้น
แต่ในขณะเดียวกันความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของจีน รวมท้ังขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น ระบบอุตสาหกรรมการผลิตที่เข้มแข็ง เทคโนโลยีที่ไม่เป็นรองใคร แสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกร ทำให้สหรัฐก็รู้ตัวดีว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งจีนจะไม่พึ่งพาสหรัฐอีกต่อไป หรือจะไม่ทนแบกดีมานด์ดอลลาร์เทียมอีกต่อไป
เมื่อจีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จีนจะไม่ขายของเป็นดอลลาร์อาจจะรับเงินสกุลอื่น หรือรับเฉพาะหยวนก็ได้เหมือนกับสหรัฐในเวลานี้ที่ขายของหรือทำธุรกรรมต่างๆเป็นเงินดอลลาร์อย่างเดียว ประเทศอื่นๆไม่มีทางเลือกเนื่องจากดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก สงครามเย็นที่สหรัฐกำลังก่อกับจีนในทุกรูปแบบเวลานี้มีสาเหตุมาจากการที่สหรัฐมีแนวโน้มที่จะสูญเสียสิทธิพิเศษในการใช้จ่ายเกินตัวของของดอลลาร์ในอนาคต
เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประมาณ $1.7 ล้านล้านจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด$4ล้านล้าน แต่ในเวลานี้ จีนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลลงมามาก ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่$800พันล้านเหรียญ เพราะว่าจีนกำลังออกจากระบบดอลลาร์ร่วมกับกลุ่มBRICS โดยจะใช้เงินสกุลหยวน และเงินสกุลของประเทศสมาชิกของBRICSในการค้าขาย หรือทำธุรกรรมการเงินแทน
เมื่อแรกเริ่ม การมีเงินทุนสำรองมากในรูปดอลลาร์ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเงินหยวน เพราะว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ จีนยังไม่มีเครดิตมากในระบบการเงินโลก การควบคุมเงินหยวนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ จีนช่วยอุ้มดอลลาร์ทำให้เงินหยวนอ่อนค่า ซึ่งทำให้ค่าแรงงานของจีนถูก สินค้ามีราคาถูก ทำให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ และบริษัทผู้ส่งออกได้ประโยชน์ แต่ประชาชนคนจีนโดยทั่วไปแบกภาระจากเงินเฟ้อที่มาจากหยวนที่ถูกกดให้อ่อนค่าเพื่อสนับสนุนการส่งออก เพื่อแลกกับการโกยเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ
ประเทศไทย หรือประเทศผู้ส่งออกทั้งหลายก็ดำเนินนโยบายแบบนี้ในการกดค่าเงินให้อ่อนค่าเพื่อเอื้อการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการเพิ่มจีดีพี แต่ว่าบาทที่อ่อนค่าไม่ได้เอื้อประชาชนโดยรวม เพราะว่าต้องเจอกับเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น สำหรับผู้ที่มีรายได้สูงอาจจะไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ผู้ที่มีรายได้ต่ำหรือรายได้ปานกลางจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ด้อยลง เนื่องจากอำนาจซื้อลดลงจากเงินเฟ้อนั้นเอง บาทอ่อนทำให้อุตสาหกรรมส่งออกไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน
เมื่อตั้งลำได้แล้วจากเศรษฐกิจ และการเงินที่แข็งแกร่ง ระบบซับไพลเชนที่ครอบคลุมระบบการผลิต และเทคโนโลยีที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร ทำให้จีนมีการปรับนโยบายไม่อุ้มดีมานด์เทียมของดอลลาร์ หรือไม่เน้นการส่งออกไปยังสหรัฐอีกต่อไป แต่จะหันมาให้ความสำคัญกับตลาดของBRICS และเน้นการบริโภคภายในประเทศ
วิกฤติการเงินของวอลล์สตรีทในปี 2008-2009 ซึ่งทำการส่งออกพัง เศรษฐกิจทั่วโลกประสบกับหายนะ ทำให้จีนต้องปั๊มเงินเกือบ $500พันล้านเหรียญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้บทเรียนที่ดีสำหรับจีนว่าไม่สามารถจะพึ่งพาการส่งออก หรือสหรัฐเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องสร้างแนวร่วมใหม่ผ่านBRICS และ Shanghai Cooperation Organizationเพื่อออกจากระบบดอลลาร์กระดาษ และความเป็นมหาอำนาจโลกผู้เดียวของสหรัฐ
เมื่อสี จิ้นผิงขึ้นมามีอำนาจในปี 2012 จีนเริ่มดำเนินนโยบายการเอาใจออกห่างจากสหรัฐอย่างจริงจัง แต่ทำอย่างเนียนๆไม่กระโตกกระตาก โดยจีนจะไม่เน้นการส่งออกอีกต่อไป
แต่จะหันกับมาให้ความสำคัญกับการกินดีอยู่ดีของคนจีนที่เสียสละมากพอแล้วในการขายแรงงานถูกๆในตอนต้นเพื่อแลกกับการส่งออกและการดันจีดีพีให้โต แต่ในขณะเดียวกันค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าทำให้คนจีนต้องแบกรับเรื่องเงินเฟ้อ
ได้เวลาที่จีนจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มอำนาจการใช้จ่ายของประชาชนด้วยการทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพ เพิ่มชนชั้นกลางผ่านการสร้างเมืองใหม่ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้ครบบริบูรณ์ เน้นการศึกษาการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างสร้างซับไพลใหม่ๆ ผ่านนวัตกรรม สร้างระบบชำระเงินแบบออนไลน์เพื่อให้คนจีนเข้าถึงแหล่งเงินได้ทั่วถึงเพิ่มขึ้น และเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศอันเห็นได้จากการที่อาลีบาบาและบริษัทจีนต่างๆได้รับอนุญาตให้ไปจดทะเบียนเพื่อเทรดหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ค
การเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบผ่านการทำ QE ของธนาคารกลางของสหรัฐที่งบดุลปูดขึ้นมาจาก $900,000 กว่าล้านก่อนวิกฤติ2008 เป็น $7 ล้านล้านกว่าในปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะต้องกลับมาทำคิวอีอีก เพื่ออุ้มพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มีกำหนดครบอายุ$10ล้านล้านปีนี้ ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐมีการก่อหนี้$1ล้านล้านในทุกๆ100วัน ทำให้หนี้สาธารระล่าสุดเกือบแตะระดับ$35ล้าน มีอยู่สามทางสำหรับสหรัฐในเวลานี้คือปล่อยให้เงินเฟ้อพุ่งเพื่อลดหนี้ กลับมาทำคิวอี หรือเผชิญกับการล่มสลายของดอลลาร์
ในสมัยของสี จิ้นผิง เราจึงเห็นโอบามาเริ่มดำเนินนโยบายปักหมุดในเอเชียเพื่อปิดล้อมจีน สกัดไม่ให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก เพราะโอบามาก็รู้ดีว่าจีนกำลังเอาใจออกห่าง และไม่ยอมเล่นตามเกมเดิมที่วางกรอบสร้างกันมาตั้งแต่สมัยของเฮนรี่ คิสซิงเจอร์
ทรัมป์เข้ามามีอำนาจด้วยนโยบาย Make America Great Again เพื่อก่อสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีกับจีน แม้ว่าสหรัฐจะต้องพึ่งพาจีนมากก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเข้าสินค้าจีน และการที่จีนที่เป็นเจ้าหนี้ ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในสัดส่วนที่สูงเกือบที่สุด เป็นรองแค่ญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนไบเดนยิ่งจะก้าวร้าวกับจีนมากยิ่งขึ้น สะท้อนการดิ้นรนของจักรวรรดิในเฮือกสุดท้ายก่อนวาระการรีเซ็ตระบบโลก
By Thanong Khanthong, Editor
IMCT News