ขอบคุณภาพจาก RT
18/9/2024
บทความของ Daniel Lacalle นักเศรษฐศาสตร์ปริญญาเอก และผู้จัดการกองทุนชาวสเปน ซึ่งตีพิมพ์ลงเว็บไซต์ dlacalle.com พูดถึงการทำลายระบบการเงินอย่างไม่คาดฝันกำลังใกล้เข้ามา
เขาอ้างถึง Bloomberg ที่รายงานว่า ปริมาณเงินทั่วโลกพุ่งขึ้น 20.6 ล้านล้านดอลลาร์ นับจากปี 2019 หรือประมาณ 680 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้ทั่วโลกก็พุ่งขึ้นเช่นกัน 15 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2023 หรือประมาณ 500 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 313 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 10,000 ล้านล้านบาท 55% ของจำนวนหนี้ที่พุ่งขึ้น มาจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว หลักๆ คือมาจากสหรัฐ ฝรั่งเศส และเยอรมนี
หนี้ที่ยังไม่ชำระในสหรัฐมีสูงถึง 72 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,400 ล้านล้านบาท เกือบ 300% ของจีดีพี แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าของสเปนซึ่งมีหนี้ที่ยังไม่ชำระถึง 500% ของจีดีพี ฝรั่งเศส 400% ของจีดีพี และเยอรมนี ที่เกือบ 350% ของจีดีพี
ไม่มีใครสามารถหลบหนีจากหนี้สินได้เลย การที่รัฐบาลสหรัฐพิมพ์เงินกระดาษออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้สกุลเงินดอลลาร์มีมูลค่าเสื่อมลง เพียงเท่านี้ ก็ส่งผลให้คนทั่วไปที่มีเงินเก็บในรูปดอลลาร์ มีความมั่งคั่งน้อยลงแล้ว ราวกับว่า มูลค่าที่หายไป คือการเอาไปจ่ายหนี้ประเทศที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว
เงินเฟ้อก็เป็นอีกปัจจัยที่ดูเหมือนจะเป็นการเก็บภาษีประชาชนทางอ้อม คือ การทำให้ข้าวของสินค้ามีราคาแพงขึ้น แล้วรัฐบาลก็โยนความผิดไปให้บรรดาร้านค้าหรือธุรกิจต่างๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเงินเฟ้อมาจากรัฐบาลสหรัฐเพิมพ์เงินเพิ่มนั่นเอง
รัฐบาลหลายประเทศต้องการให้เงินเฟ้อสูงขึ้น เพื่อที่จะลดผลกระทบจากหนี้สินภาครัฐที่พอกพูน และหนี้ที่ยังไม่ชำระคืน พวกเขารู้ดีว่า จะไปเก็บภาษีจากประชาชนเพิ่มก็ไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีเก็บภาษีทางอ้อม โดยการทำลายอำนาจซื้อของสกุลเงินที่พวกเขานำออกใช้
การเก็บภาษีสูงๆ ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยลดหนี้สินได้เลย แต่กลับจะทำให้ความมั่งคั่งของประเทศถูกกัดกินต่อไปเรื่อยๆ หลายประเทศที่เก็บภาษีสูง จึงมีรัฐบาลที่เต็มไปด้วยหนี้สาธารณะขนาดมหึมา
ถ้าคิดว่า หายนะทางการเงินที่เจอกันอยู่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มันแรงเกินแล้ว ก็ต้องบอกว่า จะมีมากกว่านี้อีกในอนาคต
ในปี 2024 นี้ โลกมีการเลือกตั้งมากกว่า 70 ครั้ง แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดเลยที่มีอำนาจมากพอที่จะลดหนี้ได้ รัฐบาลหลายแห่งตลอดจนนักการเมืองเข้าใจว่า พวกเขาแค่ให้สัญญากับประชาชน โดยการใช้เงินคนอื่นมาสานนโยบาย แล้วผู้ลงคะแนนมากมายก็พร้อมจะยอมรับในสิ่งนี้เสียด้วย สกุลเงินที่เสื่อมมูลค่าลง จะนำไปสู่ความยากจนอย่างกว้างขวาง
กมลา แฮร์ริส ให้คำมั่นจะลดภาษีให้พวกสตาร์ทอัพ และพวกซื้อบ้านครั้งแรก รวมถึงครอบครัวที่มีบุตรหลาน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องน่าขัน เพราะเงินเฟ้อ ภาษีแฝง ล้วนกัดกินรายได้และเงินเก็บของประชาชนไปแล้ว ในรูปของภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อมที่สูงมาก แฮร์ริสให้คำมั่นจะลดภาษีให้กับกิจการเล็กๆ ที่ส่วนใหญ่ ไม่เคยได้ประโยชน์ตรงนี้เลย แต่กว่ามาตรการนี้จะออกมา กิจการเล็กๆ นั่นก็ปิดไปแล้ว
กระทรวงการคลังสหรัฐคาดว่า จะมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 16 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 528 ล้านล้านบาท ระหว่างปี 2024 ถึง 2034 และเรื่องนี้ ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประเมินความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะถดถอยเลย หนี้รัฐบาลสหรัฐ 35 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,155 ล้านล้านบาท และที่พอกพูนมาอีกเพิ่มเติม อาจทำลายสกุลเงินดอลลาร์ได้
คนอเมริกันจะต้องเจอกับหนี้ที่สูงขึ้น ทำให้ซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง และท้ายสุด จะเกิดการยุบตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง แผนที่จะส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตและสนับสนุนอำนาจซื้อของสกุลเงินดอลลาร์ก็จะหายไปด้วย
รัฐบาลหลายแห่งและบรรดานักการเมืองจำเป็นต้องได้รับเสียงโหวตจากกลุ่มชนชั้นกลาง เพื่อให้ขึ้นสู่อำนาจให้ได้ และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีกัดเซาะเงินเก็บและรายได้ของกลุ่มชนชั้นกลางเช่นกัน เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะ และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลบอกว่า จะพิมพ์เงิน และก่อหนี้มากขึ้น ท้ายสุด ชนชั้นกลางคือผู้รับเคราะห์ต้องจ่ายแทนทางอ้อม
ถ้าถามว่า รัฐบาลหลายแห่งจะทำเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า อาจทำให้ประชาชนไม่พอใจกับข้าวของที่แพงขึ้น คำตอบคือ ข้อแรก รัฐบาลจำเป็นต้องหุบปากประชาชนให้ได้เสียก่อน โดยการไม่ให้มีเสรีภาพในการพูดและไม่ให้มีสื่ออิสระ ข้อสอง จากนั้น ก็กำจัดทางเลือกของประชาชนที่จะหนีจากสกุลเงินนี้ไปเสีย และข้อสาม ตบท้ายด้วยการโปรยคำพูดสวยๆ ว่า “ เราอาจจะไม่ต้องมีอะไรเลย แต่เราก็มีความสุขได้ “ เพียงแค่นี้ ประชาชนก็พร่ำบ่นไม่ได้แล้ว
By IMCT News
อ้างอิงจาก https://www.dlacalle.com/en/an-unprecedented-monetary-destruction-is-coming/