บทบาท 'ทรัมป์-ปูติน-สี' กับการปรับโฉมระเบียบโลกหลายขั้วอำนาจ
2-2-2025
Asia Time นำเสนอบทความพิเศษวิเคราะห์ ทรัมป์-ปูติน-สี จิ้นผิง:กับโอกาสประวัติศาสตร์สร้างดุลอำนาจใหม่ในศตวรรษที่ 21 โดยมีเนื้อหาในบทความว่า
ผู้นำสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน กำลังเผชิญกับโอกาสทางประวัติศาสตร์ในการร่วมกันสร้างระเบียบโลกใหม่ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลกครั้งสำคัญ
บทวิเคราะห์ชี้ให้เห็นความคล้ายคลึงที่น่าสนใจระหว่างการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการเสื่อมถอยของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน โดยสหภาพโซเวียตล้มเหลวเพราะการกีดกันชนชั้นผู้ประกอบการ ขณะที่สหรัฐฯ กำลังสั่นคลอนเพราะชนชั้นปกครองผลักชนชั้นแรงงานออกไป นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง
การดำรงตำแหน่งวาระแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกเปรียบเทียบกับบอริส เยลต์ซิน ในฐานะผู้ทำลายระเบียบเก่า และมีการคาดการณ์ว่าในวาระที่สองอาจเดินตามแนวทางของวลาดิมีร์ ปูติน ที่มุ่งเน้นการสร้างชาตินิยมและฟื้นฟูฐานอุตสาหกรรมภายในประเทศ
ทั้งสหรัฐฯ และรัสเซียมีความคล้ายคลึงกันมากกว่าที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ ตามที่ลอว์เรนซ์ เทาบ์ นักอนาคตวิทยาชาวอเมริกันชี้ให้เห็นในทศวรรษ 1980 ว่าทั้งสองประเทศถือกำเนิดจากการปฏิวัติต่อต้านจักรวรรดิยุโรป ยึดมั่นในอุดมคติทางการเมืองด้านมนุษยธรรม และขยายอาณาเขตโดยการยึดครองดินแดนของชนพื้นเมืองในศตวรรษที่ 19
นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีโครงสร้างการปกครองแบบสหพันธรัฐและมีรากฐานทางวัฒนธรรมจากยุโรป เป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติ แต่ถูกครอบงำโดยกลุ่มหลักทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง (WASP ในสหรัฐฯ และชาวรัสเซียในรัสเซีย)
พอล ดุ๊กส์ ได้วิเคราะห์ในหนังสือ "The Emergence of the Super-Powers" (1970) ว่าทั้งสองประเทศต่างเชื่อว่าตนมีชะตากรรมที่ชัดเจนและภารกิจระดับโลก โดยมองอีกฝ่ายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จ พร้อมทั้งมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมคาวบอยและคอสแซค และมีแนวโน้มมองประเด็นทางการเมืองและศาสนาในแง่มุมที่เรียบง่ายแบบขาว-ดำ
ทั้งสองประเทศเป็นมหาอำนาจที่มีขนาดใหญ่ ประชากรใกล้เคียงกัน และมีลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน อีกทั้งยังมีคลังอาวุธขนาดใหญ่และประสบการณ์ด้านอวกาศยาวนานหลายทศวรรษ
ในทศวรรษ 1980 เมื่อมิคาอิล กอร์บาชอฟเยือนจีนภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง ได้เห็นความสำเร็จของจีนในการผสานหลักการทุนนิยมเข้ากับระบบสังคมนิยม ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยยังคงการควบคุมจากส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์
กอร์บาชอฟพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายคลึงกันผ่านเปเรสทรอยกา (การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ) และกลาสโนสต์ (การเปิดกว้างทางการเมือง) แต่ขาดการสนับสนุนทางการเมืองและเสถียรภาพของสถาบัน ส่งผลให้เกิดการล่มสลายทางเศรษฐกิจและการแตกแยกทางการเมือง นำไปสู่การสิ้นสุดของสหภาพโซเวียตในปี 1991
ความล้มเหลวของกอร์บาชอฟเปิดทางให้เยลต์ซิน นักประชานิยมที่ใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจต่อระบอบคอมมิวนิสต์ แทนที่จะปรับปรุงระบบสังคมนิยม เยลต์ซินกลับล้มล้างมันทิ้ง นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง ความยากจนของประชาชน และการเติบโตของกลุ่มอภิสิทธิ์ชน จนกระทั่งปูตินขึ้นมามีอำนาจและนำความเป็นระเบียบกลับคืนมา
ภายใต้การนำของปูติน รัสเซียได้กลับมาแสดงบทบาทบนเวทีโลกอีกครั้ง โดยใช้ทรัพยากรพลังงานและศักยภาพทางทหารท้าทายอิทธิพลตะวันตก แม้วิธีการแบบเผด็จการของเขาจะสร้างความขัดแย้ง แต่ก็สามารถเปลี่ยนรัสเซียจากรัฐที่วุ่นวายให้กลับมาเป็นมหาอำนาจที่น่าเกรงขามอีกครั้ง
ในขณะที่สหรัฐฯ ไม่เคยมีผู้นำอย่างกอร์บาชอฟที่กล้าผลักดันการปฏิรูประบบ แม้แต่บารัค โอบามาที่มีโอกาสหลังวิกฤตการเงินปี 2008 ก็เลือกช่วยเหลือวอลล์สตรีทแทนการปฏิรูปโครงสร้าง ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นและนำไปสู่กระแสประชานิยมที่หนุนทรัมป์ขึ้นสู่อำนาจ
วาระแรกของทรัมป์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย การอ่อนแอของสถาบัน และการรื้อถอนระเบียบเก่า ผ่านนโยบายสงครามการค้า การยกเลิกกฎระเบียบ และการเน้นชาตินิยม สะท้อนการปฏิเสธฉันทามติของกลุ่มโลกาภิวัตน์หลังสงครามเย็น
แม้ทรัมป์และปูตินจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างสำคัญในความสัมพันธ์กับกลุ่มมหาเศรษฐี ในขณะที่ปูตินควบคุมอิทธิพลของเหล่าอภิสิทธิ์ชนในรัสเซีย แต่ทรัมป์กลับผูกพันกับชนชั้นนำทางธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาษีและการยกเลิกกฎระเบียบของเขา
การเคลื่อนไหวสู่โลกหลายขั้วอำนาจดูจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยปัจจัยหลายประการ ทั้งสงครามในยูเครน การก่อตั้ง BRICS หนี้สาธารณะที่ไม่ยั่งยืนของสหรัฐฯ และอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนในด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์
จีนได้พิสูจน์ความสำเร็จในการผสานอุดมการณ์ทางการเมืองหลักของศตวรรษที่ 20 ทั้งทุนนิยมและสังคมนิยม ผ่านการวางแผนระยะยาว 10-50 ปี จนสามารถยกระดับประชากรพันล้านพ้นจากความยากจน และก้าวขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ที่จะกำหนดอนาคตในศตวรรษที่ 21
การปฏิรูปของเติ้งในทศวรรษ 1970 ได้ฟื้นฟูประเพณีการประสานความขัดแย้ง (หยิน-หยาง) อายุ 2,500 ปีของจีน ซึ่งเป็นรากฐานของแนวทางสายกลางตามปรัชญาขงจื๊อ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจมีบทบาทไกล่เกลี่ยระหว่างทรัมป์และปูติน ด้วยปรัชญาที่ว่า "อย่าเป็นทุนนิยมหรือกลุ่มนิยม จงเป็นทั้งสองอย่าง" สอดคล้องกับแนวคิดของจวงจื่อที่เตือนถึงอันตรายของการยึดติดกับอัตลักษณ์หรือความเชื่อที่ตายตัว โดยเปรียบเทียบว่า "ตอนนี้เป็นมังกร ตอนนี้เป็นงู เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และอย่ายินยอมที่จะเป็นสิ่งเดียว"
---
IMCT NEWS : Photo Image: X Screengrab
ที่มา https://asiatimes.com/2025/02/trump-putin-and-xi-as-co-architects-of-brave-new-multipolar-world/