ขอบคุณภาพจาก Xinhua
17/4/2024
ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ยืนยัน ความร่วมมือระหว่างจีนกับเยอรมนี ไม่ใช่ความเสี่ยง แต่มันคือโอกาส และเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาว รวมถึงการวางยุทธศาสตร์ และทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับโลก
ถ้อยแถลงของผู้นำจีนมีขึ้นในช่วงที่ได้พบปะกับนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ซึ่งได้เยือนจีนนานสามวัน โดยเยือนปักกิ่งเป็นที่สุดท้าย หลังจากมุ่งหน้านำคณะผู้แทนจากเยอรมนีไปฉงชิ่งและเซี่ยงไฮ้ก่อนหน้านี้
แม้สหภาพยุโรปจะเคยกล่าวหาจีน ให้การอุดหนุนภาคการผลิตรถไฟฟ้าทำให้ประเทศอื่นสู้ไม่ได้ รวมถึงการกล่าวหาของสหรัฐที่ว่า จีนผลิตมากเกินไป แต่ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ก็เรียกร้องให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเป็นกลางและให้ตรงตามความเป็นจริง
สองผู้นำยังแลกเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องวิกฤติยูเครนและประเด็นระหว่างประเทศอื่นๆ ตลอดจนการสานผลประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาค
ก่อนหน้านี้ ผู้นำเยอรมนียังได้เยือนโรงงานของบริษัทเยอรมันที่ไปตั้งอยู่ในจีน และได้พูดคุยกับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย ถงจี้ ในเซี่ยงไฮ้ เป็นสถาบันการศึกษาในจีนที่ก่อตั้งโดยแพทย์ชาวเยอรมันเมื่อ 100 ปีที่แล้ว เพื่อสร้างเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างจีนกับเยอรมนี
ผู้เชี่ยวชาญจากจีน มองว่า นายกฯ เยอรมัน ยังคงรักษาดุลอำนาจทางยุทธศาสตร์ ท่ามกลางแรงกดดันจากหลายฝ่าย ทั้ง สหภาพยุโรป และสหรัฐ ส่วนจีนแม้จะมองว่า เยอรมนีและสหภาพยุโรป คือหุ้นส่วนเสมอมา แต่จีนเองก็เร่งหารือกับเยอรมนีในสามประเด็นที่เร่งด่วน คือ วิกฤติยูเครน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป
ผู้สังเกตการณ์บางคน มองว่า การพบปะกันระหว่างผู้นำเยอรมนีกับจีน ส่งผลบวกกว่าที่คาด ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพยุโรปวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ และหวังว่า เยอรมนีจะช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้จีนในกลุ่มสหภาพยุโรปได้
สีจิ้นผิงยังบอกว่า ภาคอุตสาหกรรมและซัพพลายเชนของจีนกับเยอรมนี มีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง และตลาดของสองประเทศก็ต้องพึ่งพากัน ความร่วมมือกันจึงไม่ใช่ความเสี่ยง แต่เป็นการรับประกันถึงเสถียรภาพของความสัมพันธ์และโอกาสในอนาคต สองประเทศมีศักยภาพที่จะร่วมมือกันในด้านภาคการผลิตเครื่องจักรกล รถยนต์ และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เช่น เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดิจิทัลเอไอ
ผู้นำจีนยังบอกว่า จีนส่งออกรถไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียม และแผงโซล่าเซลล์ ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของตลาดโลก และบรรเทาแรงกดดันจากเงินเฟ้อเพราะของจีนราคาถูก แต่ผลิตภัณฑ์ของจีนเหล่านี้ ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
สีจิ้นผิงกล่าวว่า จีนกับเยอรมนีควรระวังแนวคิดคุ้มครองการค้าที่มากเกินไป โดยกีดกันสินค้าจากประเทศอื่น ซึ่งทางผู้นำเยอรมนีก็ยืนยันว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดคุ้มครองการค้า และสนับสนุนการค้าเสรี ในฐานะสมาชิกสหภาพยุโรป เยอรมนีตั้งใจที่จะรับบทนำส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างจีนกับสหภาพยุโรป
เยอรมนีเป็นหุ้นส่วนการค้าของจีนที่ใหญ่สุดในยุโรปมานานถึง 49 ปีติดต่อกันแล้ว ส่วนจีนก็เป็นหุ้นส่วนการค้าใหญ่สุดของเยอรมนีมานาน 8 ปีติดต่อกันแล้วเช่นกัน ปัจจุบัน จีนมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ส่วนเยอรมนีอยู่ในอันดับสาม
นักวิเคราะห์ในจีนมองว่า การขึ้นภาษีเพื่อกีดกันสินค้าจีน รังแต่จะทำให้เสียผลประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย จีนกับเยอรมนีควรพุ่งเป้าไปที่ทำอย่างไรเค้กจึงจะก้อนใหญ่ขึ้น แทนที่จะเอามีดมาหั่นเค้กให้เล็กลง ถ้าจีนกับเยอรมนีร่วมมือกันในภาครถไฟฟ้าได้ การแข่งขันจะบรรเทาลง และจะกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้กลับมาคึกคักได้อีก
ส่วนประเด็นวิกฤติยูเครนนั้น สีจิ้นผิงได้เสนอสี่แนวทางเพื่อป้องกันวิกฤติขยายจนเกินควบคุม คือ หนึ่ง ต้องละเว้นจากความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และมุ่งเน้นส่งเสริมสันติภาพ สอง ต้องลดความร้อนแรงของสถานการณ์และอย่าสุมไฟเพิ่ม สามต้องฟื้นฟูสันติภาพขึ้นมาใหม่ สี่ ต้องลดผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจโลก และหลีกเลี่ยงการบ่อนทำลายเสถียรภาพอุตสาหกรรมโลกและซัพพลายเชน
จีนกับรัสเซียยังเรียกร้องต่อต้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ต่อต้านการโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และสถานที่อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับการใช้นิวเคลียร์อย่างสันติ การรับประกันเรื่องความมั่นคงทางอาหาร การทำตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเพื่อปกป้องพลเรือน การปล่อยนักโทษสงครามและเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของนักโทษสงคราม
นักวิเคราะห์มองว่า วิกฤติราคาพลังงานพุ่งสูง ยังคงกระทบต่อเศรษฐกิจเยอรมนี และมีความเป็นไปได้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดรอบใหม่ในความสัมพันธ์ของสองฝ่ายในมหาสมุทรแอตแลนติก ผู้นำจีนกับเยอรมนีจึงเห็นควรว่า ต้องรีบลดผลกระทบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ให้เหลือน้อยที่สุด ตลอดจนความไม่แน่นอนต่างๆ ไม่ควรก่อให้เกิดการเผชิญหน้าหรือเป็นศัตรูมากไปกว่านี้
By IMCTNews
อ้างอิงจาก https://www.globaltimes.cn/page/202404/1310711.shtml