เปิดประวัติ 'พีท เฮกเซธ' จากห้องส่งรายการทีวีสู่ 'ว่าที่รมต.กลาโหม' สหรัฐฯ
14/11/2024
PENTAGON —
ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อให้ พีท เฮกเซธนักจัดรายการช่องข่าว Fox News ผู้ที่เคยอยู่ในกองทัพและได้เหรียญรางวัลของทหาร ให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ คนต่อไป
การเลือกเฮกเซธ ในครั้งนี้ไม่ได้ถูกคาดหมายมาก่อนจากผู้ติดตามการเมืองสหรัฐฯ จำนวนมาก โดยหน้าที่ดังกล่าวมาพร้อมกับความรับผิดชอบบริหารกองทัพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
เฮกเซธ ผู้ที่อยู่ในหน่วยเนชันนัลการ์ดของกองทัพบกสหรัฐฯ และเป็นพิธีกรรายการ “Fox and Friends” ช่วงสุดสัปดาห์ สร้างความเป็นที่รู้จักจากการส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในกระทรวงกลาโหม
พิธีกรรายนี้เคยกล่าวว่า เขาต่อต้านนโยบายในกองทัพที่ส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียมกัน และความคำนึงถึงคนทุกภาคส่วน ภายใต้ชื่อโครงการ DEI โดยกล่าวว่าเป็นวาระของพวก 'โว้ค' (woke) ที่มักเป็นคำเรียกเชิงตำหนิต่อแนวคิดด้านความหลากหลายทางสังคมของฝ่ายเสรีนิยม
เฮกเซธ ตั้งคำถามถึงบทบาทของผู้หญิงในภารกิจการรบ ซึ่งเป็นงานที่เปิดรับให้สตรีทำได้ในปี 2016 หรือ 8 ปีก่อน ตั้งเเต่นั้นมาผู้หญิงปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยรบ หลังผ่านการทดสอบที่ยากลำบากเช่นเดียวกับผู้ชาย ซึ่งรวมถึงในหน่วย Green Berets ตลอดจนArmy Rangers ในกองทัพบก และ combat-craft crewman ของกองทัพเรือ
ว่าที่รมต.กลาโหมผู้นี้ เรียนจบมหาวิทยาลัยระดับท็อปของสหรัฐฯ คือพรินซ์ตันและฮาร์เวิร์ด และเขียนหนังสือ “The War on Warriors” หรือ สงครามต่อนักรบ ซึ่งในงานเขียนนี้เขากล่าวโทษโครงการ DEI ในกองทัพว่าก่อให้เกิดวิกฤตในการรับคนเข้าเป็นทหาร
เขาเขียนว่า "มันมีเลสเบียน (หญิงรักหญิง) ไม่มากพอจากซานฟรานซิสโก ที่อยากเข้าร่วมกับหน่วย Airborne ที่ 82 ไม่ใช่เเค่ไม่มีเลสเบียนมาร่วมงาน การโฆษณางานแบบนั้น ทำให้ผู้ชายที่อายุน้อย รักชาติและเป็นชาวคริสต์ ซึ่งปกติจะรับหน้าที่เหล่านั้น ไม่อยากมาร่วมงานด้วย"
เฮกเซธ ยังเคยส่งสัญญาณว่าอาจดำเนินการต่อผู้นำทางทหารที่สนับสนุนโครงการ DEI เช่น พลเอกซีคิว บราวน์ ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วม
พิธีกรจากช่อง Fox News ผู้นี้เคยบอกกับผู้จัดรายการอีกคนหนึ่ง ชอน ไรอัน ในปีนี้ด้วยว่า "ก่อนอื่นเลย คุณต้องไล่ผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมออก" รวมทั้ง "นายพลคนใดก็ตามที่เกี่ยวข้อง"
เฮกเซธ เคยร่วมสงครามอิรัก และอัฟกานิสถาน รวมทั้งไปทำงานที่อ่าวกวนตานาโม เขาพยายามผลักดันให้กองทัพมีศักยภาพทำลายล้างรุนเเรงมากขึ้น
ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ชมเชยเขาว่า "เข้มเเข็ง ฉลาดและเชื่ออย่างเเน่วแน่ในเรื่องอเมริกาต้องมาก่อน"
ทั้งนี้พีท เฮกเซธจะต้องได้รับการอนุมัติจากเสียงส่วนใหญ่ของวุฒิสภา ก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม โดยในเวลานี้พรรครีพับลิกันได้เสียงข้างมากอยู่ อย่างน้อย 3 ที่นั่ง
แหล่งข่าวที่เคยทำงานในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ รายหนึ่งที่ไม่ประสงค์จะออกนาม แสดงความชื่นชมต่อความทุ่มเทของเฮกเซธที่มีให้กับกองทัพสหรัฐฯ และทหารผ่านศึกอเมริกัน
อดีตเจ้าหน้าที่ของเพนตากอนรายนี้บอกกับวีโอเอว่า เฮกเซธ "จะต่อสู้เพื่อ (ทหารอเมริกัน) เพราะเขาใส่ใจอย่างมาก"
แหล่งข่าวรายอื่น ๆ ของวีโอเอเเสดงความประหลาดใจต่อการเลือกเฮกเซธมารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม
ก่อนหน้านี้ หลายคนคาดว่าทรัมป์จะเสนอชื่อผู้ที่จะมาเป็นเจ้ากระทรวงเพนตากอนจากกลุ่มบุคคลที่คุ้นกับงานด้านความมั่นคงแห่งชาติ และมีตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น ส.ส. ไมค์ โรเจอร์ จากรัฐแอละบามาที่เคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการเพื่อกองทัพ หรือสว. ที่เป็นสมาชิกคณะทำงานด้านนี้จากวุฒิสภา เช่นโจนี เอิร์นสต์ จากรัฐไอโอวา และทอม คอตตอนจากอาร์คันซอ โดยสว.ทั้งสองเคยทำงานในกองทัพมาก่อน
ทั้งนี้กระทรวงกลาโหมอเมริกัน มีเจ้าหน้าที่รวมกันกว่า 2 ล้าน 5 แสนคน และน่าจะใช้งบประมาณปีนี้มากกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์
ในสมัยเเรกของการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับรัฐมนตรีกลาโหม โดยพลเอกจิม เเมตทิส เจ้ากระทรวงกลาโหมคนเเรกของทรัมป์ ลาออกเพื่อประท้วงวิธีปฏิบัติของทรัมป์ต่อพันธมิตรสหรัฐฯ และไม่เห็นด้วยกับการที่ทรัมป์ตัดสินใจถอนทหารทั้งหมดออกจากซีเรีย
ต่อมา รัฐมนตรีกลาโหมมาร์ค เอสเปอร์ในรัฐบาลทรัมป์ ก็เคยวิจารณ์ทรัมป์ว่า "ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง" ประธานาธิบดี
ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เพิ่งผ่านมา ทรัมป์บอกกับนักจัดรายการพอดเเคสต์โจ โรเเกนว่า ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือการเเต่งตั้ง "คนไม่ดี" มาร่วมรัฐบาล ซึ่งรวมถึงพวก "นีโอคอน" หรืออนุรักษ์นิยมสมัยใหม่
เฮกเซธเคยเป็นผู้อำนวยการบริหาร กลุ่ม Concerned Veterans for America ที่ได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจตระกูลโค้ค (Koch) ที่ต้องการแปรรูปกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกให้เป็นเอกชนมากขึ้น เขาจึงมักถูกพูดถึงก่อนหน้านี้ว่าอาจได้รับการเสนอชื่อเป็นเจ้ากระทรวงดังกล่าวช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยเเรก
ที่มา: วีโอเอ
-----------------------------------------
รู้จัก 'มาร์โก รูบิโอ' หลังทรัมป์เสนอชื่อตำแหน่งรมต.ต่างประเทศ
ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อสว. มาร์โก รูบิโอ วัย 53 ปีจากรัฐฟลอริดาให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ
สว.รูบิโอ กล่าวว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ประธานาธิบดีให้ความมั่นใจต่อตนให้รับตำแหน่งอันสำคัญยิ่งนี้ และว่า “เป็นภาระความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ และหวังว่าจะมีโอกาสได้ทำหน้าที่นี้หากบรรดาเพื่อน สว.ให้การรับรอง”
เขาเกิดที่นครไมอามี รัฐฟลอริดา โดยพ่อของเขาเคยเป็นบาร์เทนเดอร์ ส่วนมารดาเคยเป็นเเม่บ้านของโรงเเรม และทั้งคู่อพยพมาสหรัฐฯ จากประเทศคิวบา
เขาเคยใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ที่ลาสเวกัส และทำพิธีเป็นผู้นับถือคริสต์ที่โบสถ์ Church of Jesus Christ of Latter-Day Saints นิกายมอร์มอน รูบิโอระบุว่าตนเป็นชาวเเคทอลิก
ในชีวิตช่วงดังกล่าว พ่อเเม่ของรูบิโอทำงานในภาคโรงเเรมที่เฟื่องฟูของลาสเวกัส
รูบิโอกลับมาที่รัฐฟลอริดาในวัย 14 ปี ต่อจากนั้นเขาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย University of Florida ต่อด้วยปริญญาด้านกฎหมายจาก University of Miami Law School
เขาเคยเป็น ส.ส.ของสภานิติบัญญัติของรัฐฟลอริดา เเละเติบโตในการเมืองระดับรัฐ ก่อนที่จะก้าวสู่การทำหน้าที่ระดับประเทศในฐานะวุฒิสมาชิกปี 2010 และชนะเลือกตั้งติดต่อกันอีก 2 สมัยในปี 2016 และ 2022
รูบิโอเคยเเข่งเป็นตัวเเทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 2016 ซึ่งทรัมป์ได้เป็นตัวเเทนพรรคและชนะเลือกตั้งเป็นผู้นำประเทศ
เเม้จะเคยเเข่งขันกับทรัมป์ เเต่ทั้งคู่มีความสนิทสนมกัน โดยสว.ผู้นี้เคยอยู่ในกลุ่มบุคคลที่ถูกคาดหมายว่าอาจได้เป็นตัวเเทนพรรคลงเลือกตั้งร่วมกับทรัมป์ปีนี้ในตำแหน่งรองประธานาธิบดี จนกระทั่งทรัมป์เลือก สว.เจดี เเวนซ์ สำหรับหน้าที่ดังกล่าว
สำหรับงานด้านการต่างประเทศ รูบิโอ มีประวัติเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการของสภาสูงด้านข่าวกรอง และอยู่ในคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เขาเคยกล่าวเตือนถึงความร่วมมือกันมากขึ้นของจีน อิหร่าน เกาหลีเหนือและรัสเซีย ในการต่อต้านสหรัฐฯ
"พวกเขามีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือพวกเขาต้องการทำให้อเมริกาอ่อนเเอลง" รูบิโอกล่าวเมื่อเดือนมีนาคมปีที่เเล้ว
ที่มา: เอพี
-------------------------------------
ไม่พลิกโผ! 'มัสก์' ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งในทำเนียบขาว
ขอบคุณภาพจาก Gujarat Samachar
14/11/2024
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุถึงนักธุรกิจชื่อดังอย่างอีลอน มัสก์ รวมถึงวิเวก รามาสวามี ที่เคยเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีกับทรัมป์ ว่าจะดำรงตำแหน่งผู้นำของกรมประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล (Department of Government Efficiency : DOGE) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่ และชื่อย่อยังไปพ้องกับเหรียญคริปโต Dogecoin ด้วย
ทรัมป์ระบุผ่านแถลงการณ์ว่า “ชาวอเมริกันที่ยอดเยี่ยมทั้งสองคนนี้จะร่วมกันปูทางให้ฝ่ายบริหารของผมสามารถรื้อถอนระบบราชการ ลดกฎระเบียบที่มากเกินไป ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือย และปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐบาลกลาง” พร้อมๆ กับที่มัสก์ถูกอ้างในแถลงการณ์ว่า “สิ่งนี้จะทำให้เกิดคลื่นกระทบไปทั่วระบบ รวมถึงใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของรัฐบาล ซึ่งมีจำนวนมาก!”
แถลงการณ์ระบุว่า หน่วยงานใหม่นี้ “จะกลายเป็น ‘โครงการแมนฮัตตัน’ ของยุคสมัย” โดยอ้างถึงโครงการวิจัยนิวเคลียร์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้สหรัฐฯ สามารถสร้างระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกได้ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่ามัสก์จะเป็นผู้นำ DOGE ในขณะที่ "ทำงานร่วมกับ" รามาสวามี โดยไม่ได้ระบุตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเขาในหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทรัมป์สัญญาว่าจะแต่งตั้งมัสก์ให้เป็น "คณะกรรมการประสิทธิภาพของรัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบการเงินและประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลกลางทั้งหมด รวมถึงเสนอแนะแนวทางปฏิรูปครั้งใหญ่"
สำหรับมัสก์ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดคนหนึ่งของโลกและเป็นเจ้าของ SpaceX, Tesla และ X แสดงจุดยืนสนับสนุนทรัมป์ หลังจากความพยายามลอบสังหารทรัมป์ที่ล้มเหลวในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (2024) และรณรงค์หาเสียงให้ทรัมป์อย่างแข็งขันในช่วงหลายเดือนก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน (2024)
ไม่นานหลังจากการประกาศ มัสก์ก็ระบุผ่าน X ว่า "ภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย? ไม่ ภัยคุกคามต่อระบบราชการ!!!"
ขณะที่รามาสวามี ผู้ก่อตั้งบริษัทยา Roivant Sciences ถูกเสนอชื่อชิงตำแหน่งตัวแทนชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้เช่นกัน แต่สุดท้ายก็ถอนตัวและสนับสนุนทรัมป์
IMCT News
ที่มา https://www.rt.com/news/607553-trump-gives-jobs-to-elon-vivek/