นี่คือจุดจบของ NATO หรือไม่?

นี่คือจุดจบของ NATO หรือไม่? ทรัมป์ผนึกปูติน นักการทูต EU ชี้เหมือนวิกฤตมิวนิก 1938
17-2-2025
Newsweek รายงานถึง ความกังวลครั้งใหญ่เกิดขึ้นในการประชุมความมั่นคงมิวนิก 2025 เมื่อนักการทูตอาวุโสสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า "เรากำลังเผชิญกับพันธมิตรระหว่างประธานาธิบดีรัสเซียและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ต่างต้องการทำลายยุโรป" สะท้อนความหวั่นวิตกต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในดุลอำนาจโลก
คำถามสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ หากวินสตัน เชอร์ชิล อดีตผู้นำในยามสงครามของอังกฤษยังมีชีวิตอยู่ จะมองสถานการณ์นี้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำพูดอันโด่งดังของเขาที่กล่าวกับเนวิลล์ แชมเบอร์เลน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ หลังกลับจากการประชุมมิวนิกเมื่อ 87 ปีก่อนว่า "คุณได้รับทางเลือกระหว่างสงครามและการเสียเกียรติ คุณเลือกการเสียเกียรติ และคุณจะต้องเจอกับสงคราม"
ความตึงเครียดพุ่งสูงขึ้นหลังการสนทนาทางโทรศัพท์ 90 นาทีระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ตามมาด้วยถ้อยแถลงของปีเตอร์ เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ที่กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งระบุชัดเจนว่า "ความเป็นจริง" จะทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถเป็นผู้ค้ำประกันความมั่นคงของยุโรปได้อีกต่อไป
กาเบรียล แลนด์สเบอร์กิส อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศลิทัวเนีย มองว่านี่อาจเป็น "จุดเริ่มต้นของแสงสว่างที่กำลังจะหายไปของNATO " โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวอชิงตันเตรียมประกาศถอนทหาร 20,000 นายออกจากยุโรป ขณะที่เฮกเซธเดินทางไปกรุงวอร์ซอเพื่อเตือนชาวยุโรปว่า "ถึงเวลาที่ต้องลงทุน เพราะไม่อาจคาดหวังว่าการปรากฏตัวของอเมริกาจะคงอยู่ตลอดไป"
วุฒิสมาชิกโรเจอร์ วิกเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการกองทัพของวุฒิสภาสหรัฐฯ พยายามลดความตึงเครียดด้วยการระบุว่าถ้อยแถลงของเฮกเซธเป็นเพียง "ความผิดพลาดของมือใหม่" และอาจเขียนโดยทักเกอร์ คาร์ลสัน ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น "คนโง่" พร้อมยืนยันว่ายังมีคนที่มีความคิดรอบคอบอยู่รอบตัวทรัมป์
คีร์ ไจลส์ จากแชธัมเฮาส์ วิเคราะห์ว่าการที่ทรัมป์เจรจากับปูตินโดยตรง พร้อมกับที่สหรัฐฯ ยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของรัสเซียก่อนการเจรจาจะเริ่ม เป็นการโจมตีซ้ำสองต่อทั้งยูเครนและอนาคตของยุโรป โดยเปรียบเทียบว่าความคล้ายคลึงกับปี 1938 จะชัดเจนยิ่งขึ้นหากทรัมป์ชูโน้ตและบอกว่าปูตินรับรองว่าไม่มีความทะเยอทะยานในดินแดนยุโรปอีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน คำปราศรัยที่มิวนิกของรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ ซึ่งเน้นวิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตยในยุโรปและมองข้ามประเด็นสงครามยูเครน ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทั้งชาวยุโรปและชาวอเมริกันที่สนับสนุนนาโต้ โดยเฉพาะเมื่อเขาเน้นย้ำว่าภัยคุกคามที่แท้จริงต่อยุโรปไม่ใช่รัสเซียหรือจีน แต่เป็น "ภัยคุกคามจากภายใน" อ้างถึงประเด็นการอพยพเข้าเมือง
ไมเคิล แม็กฟอล นักวิชาการและอดีตนักการทูตสหรัฐฯ วิจารณ์ว่าเป็นความกล้าที่ไม่เหมาะสมที่ผู้ร่วมทีมกับชายผู้จุดชนวนการจลาจลต่อต้านรัฐสภาสหรัฐฯ ในปี 2020 จะมาวิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตยในยุโรป
วูล์ฟกัง อิสชิงเกอร์ อดีตนักการทูตเยอรมัน มองว่า "บางทียุโรปอาจจำเป็นต้องถูกช็อตไฟฟ้า" เพื่อกระตุ้นให้พึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยชี้ว่าผู้นำยุโรปต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ปัจจุบันด้วย เพราะเคลื่อนไหวช้าเกินไปในการเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ แม้ได้รับคำเตือนล่วงหน้าถึงนโยบายในวาระที่สองของทรัมป์
เคสตูติส บัดรีส ผู้สืบทอดตำแหน่งจากแลนด์สเบอร์กิส ยอมรับว่ายุโรปล่าช้าจริง และต้องเร่งแสดงให้เห็นว่ามีขีดความสามารถในการป้องกันตนเองและพร้อมรบ แต่ยังหวังว่านี่จะไม่ใช่ "ช่วงเวลามิวนิก" เพราะการที่ผู้คนตระหนักถึงบทเรียนจากปี 1938 แสดงว่าอาจมีโอกาสหลีกเลี่ยงประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
แม้การรุกรานยูเครนของรัสเซียเมื่อสามปีก่อนจะทำให้นาโต้กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง แต่บรรยากาศในวันแรกของการประชุมครั้งนี้ส่อเค้าถึงการแยกทางครั้งใหญ่ ต่างจากสมัยวาระแรกของทรัมป์ที่ทีมความมั่นคงแห่งชาติยังช่วยประสานรอยร้าวได้ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่าในยามคับขัน ยุโรปจะหันไปพึ่งพาใครได้อีก
"พันธมิตรข้ามแอตแลนติกสิ้นสุดลงแล้ว" นักการทูตอาวุโสสหภาพยุโรปกล่าวทิ้งท้าย สะท้อนความกังวลลึกๆ ของยุโรปต่ออนาคตที่ไม่แน่นอน
---
IMCT NEWS : Phot CGTN/ /CFP