ซาตานกินลูกชายตัวเอง

ซาตานกินลูกชายตัวเอง
22-3-2025
"ซาตานกินลูกชายตัวเอง" เป็นภาพวาดโดยศิลปินชาวสเปน ฟรานซิสโก โกยา ผลงานนี้เป็นหนึ่งใน 14 ภาพวาดที่เรียกว่า "ภาพวาดสีดำ" ซึ่งโกยาวาดโดยตรงบนผนังบ้านของเขาในช่วงระหว่างปี 1820-1823
ถ้าจะว่าไปแล้ว ภาพซาตานกินลูกชายตัวเองนี้เหมือนกับโดนัลด์ ทรัมป์กำลังทำกับยูเอสดอลล่าร์ เมื่อไม่มีอะไรเหลือก็ต้องกินลูกตัวเองเป็นอาหาร แม้ว่าทรัมป์จะคุยโวว่าเขาต้องการให้ดอลล่าร์แข็งแกร่ง และเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป รวมท้ังขู่เก็บภาษีประเทศBRICSมากถึง100% หากคิดที่จะออกจากระบบดอลล่าร์ แต่ในความเป็นจริงทรัมป์รู้ว่าสถานภาพของดอลล่าร์จะอยู่อย่างนี้ต่อไปได้อีกไม่นานจากหนี้ที่พอกพูนอย่างรวดเร็ว ในทางปฏิบัติทรัมป์กำลังปรับเปลี่ยนนโยบายดอลล่าร์ ด้วยการฆ่าดอลล่าร์กระดาษ
ความจริงดอลล่าร์กระดาษอยู่เกินอายุขัยของมันไปนานแล้ว หลังจากที่นิกสันยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำในปี 1971ทำให้ดอลล่าร์กลายเป็นเงินกระดาษ และอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แต่อนาคตของดอลล่าร์กระดาษนับวันจะดูมืดมนมากขึ้นทุกวัน
ตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ค่าเงินดอลล่าร์เริ่มอ่อนตัวลง ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้น และมีการโยกย้ายทองคำจากลอนดอน สวิสเข้ามาในนิวยอร์คย่างคึกโครม
มีแต่คนวงในเท่านั้นที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับดอลล่าร์กระดาษและระบบการเงินสหรัฐ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบการเงินโลกอย่างรุนแรง
ทรัมป์รู้ดีว่าหัวใจของการทำให้Make America Great Againคือการแก้ไขหนี้ที่ท่วมท้นเข้าขั้นล้มละลาย และการปรับเปลี่ยนนโยบายดอลล่าร์ มิเช่นนั้นสหรัฐจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ปัญหาของสหรัฐที่เปรียบเหมือนจุดตายที่ส้นเท้าของอาคีริส (Achiles Heel)คือกับดักหนี้ สหรัฐมีหนี้ท้ังหมดในระบบมากกว่า$100ล้านล้าน แต่มีเม็ดเงินในระบบจริงๆเพียง $21ล้านล้าน และหนี้เพิ่มขึ้นเร็วกว่าความสามารถในการหารายได้ ทำให้ตอนนี้รัฐบาลอเมริกันต้องจ่ายเฉพาะค่าดอกเบี้ยอย่างเดียว$1.2ล้านๆผ่านการออกพันธบัตรใหม่ไปไถ่ถอนพันธบัตรที่เป็นหนี้เก่า ทำแบบนี้ต่อไปค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะล้มละลายเพราะว่าไม่มีใครซื้อหนี้สหรัฐอีกต่อไป และจะเกิดเงินเฟ้อระดับไฮเปอร์
เรย์ ดาลิโอ เจ้าพ่อเฮดจ์ฟันด์ออกมาเตือนแล้วว่า สหรัฐคงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะผิดนัดชำระหนี้ ลดหนี้ บีบให้เจ้าหนี้ซื้อหนี้เพิ่ม หรือไม่ก็เบี้ยวหนี้ไปเลยจากภาระหนี้รัฐบาลอย่างเดียวที่ปัจจุบันอยู่ที่$36.4ล้านล้าน
นอกจากหนี้การขาดดุลงบประมาณ$2ล้านล้านต่อปีแล้ว ปัญหาแมคโครที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐคือการขาดดุลการค้า เมื่อเป็นเช่นนั้นในใจที่คิดทรัมป์จึงต้องการดอลล่าร์ที่อ่อนค่า แม้ว่าจะปากแข็งบอกว่าต้องการให้ดอลล่าร์แข็งแกร่งมีความน่าเชื่อถือต่อไป
การติดอาวุธดอลล่าร์ของรัฐบาลไบเดน ด้วยการยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียไป$300,000ล้านดอลล่าร์ ทำให้ประเทศต่างๆพยายามออกจากพันธบัตรดอลล่าร์และหันไปถือครองทองคำแทน
BRICSไม่ต้องการเป็นทาสอยู่ในระบบดอลล่าร์กระดาษต่อไป จึงพยายามออกจากระบบดอลล่าร์ (de-dollarization)สร้างระบบการเงินใหม่ ระบบชำระเงินใหม่ ที่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลังค่าเงิน ซึ่งจะทำให้ดอลล่าร์เสื่อมลงไปเรื่อยๆ
นโยบายการเงินของทรัมป์ในการแก้ไขวิกฤติดอลล่าร์น่าที่จะมีทิศทางดังต่อไปนี้
1. การใช้กำแพงภาษีศุลกากร Tariff Warจะทำให้ดอลล่าร์อ่อนค่าลง เพราะว่าประเทศต่างๆจะขายสินค้าได้น้อยลง และจะมีดอลล่าร์น้อยลงในการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาช่วยเพิ่มดีมานด์ดอลล่าร์ และหนุนค่าดอลล่าร์
2. การลดการใช้จ่ายของภาครัฐ ทรัมป์ได้ใช้งานอีลอน มัสก์ผ่านหน่วยงานDepartment of Government Efficiency ให้เข้ามาช่วยลดความฟุ่มเฟือย และคอรัปชั่นในภาครัฐบาล อีลอนต้องการลดงบประมาณรัฐบาลลง$2ล้านล้านต่อปั จะทำได้มากน้อยเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การลดการใช้จ่ายภาครัฐจะทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวติดลบ เพราะว่ารัฐบาลใช้จ่ายเทียบเท่า6.5%ต่อจีดีพี
3. การใช้ทองคำเพื่อหนุนค่าเงินดอลล่าร์ ยุคของดอลล่าร์กระดาษกำลังสิ้นสุดลง เมื่อทรัมป์หันมาให้ทองคำมาหนุนความน่าเชื่อถือของดอลล่าร์ ทองคำที่ไหลเข้าสหรัฐจากยุโรปอย่างมหาศาลตั้งแต่หลังเลือกตั้งประธานาธิบดีต่อไปจะกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินของสหรัฐ มีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐอาจจะไม่มีทองคำสำรอง8,133ตันตามที่ประกาศ ทองคำสำรองที่เก็บที่ฟอร์ตน็อกซ์4,000กว่าตันเฉพาะแห่งเดียว อาจจะไม่มีอยู่แล้วก็ได้
ทรัมป์รู้แล้วว่าทองคำในฟอร์ตน็อกซ์มีหรือไม่มี ถ้าหากอีลอน มัสก์เข้าไปตรวจสอบทองคำในฟอร์ตน็อกซ์ แล้วพบว่าทองคำหายไปจะส่งผลร้ายต่อความเชื่อมั่นในดอลล่าร์ เพราะว่านักลงทุนจะตั้งคำถามเดียวกันว่าในเมื่อโกหกเรื่องทองคำสำรองแล้ว เรื่องตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆคงจะโกหกเหมือนกันหมด ด้วยเหตุนี้การขนทองคำจากยุโรปเข้าสหรัฐอาจจะช่วยไปถมสำรองให้เต็มบางส่วนที่หายไป และมีการประบการประเมินราคาทองคำใหม่จากที่ลงบัญชีก่อนปี1974ที่ราคา $42.22ต่อออนซ์ เป็น$3,000 หรือ$3,500 จำทำให้รัฐบาลสหรัฐมีทรัพย์สินเพิ่มกว่า$800,000ล้าน โดยไม่ต้องขายทองออกไป ทองคำที่มีการประเมินราคาใหม่นี้สามารถเอาไปหนุนพันธบัตรออกใหม่ gold-backed bond ที่จะสร้างความน่าเชื่อถือให้รัฐบาลก่อนหนี้ต่อยอดต่อไปได้ โดยพันธบัตรที่มีทองคำหนุนหลังจะต่างจากพันธบัตรรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ไม่มีอะไรหนุนหลังเลย ซึ่งเป็นหนี้และกระดาษเปล่าๆล้วนๆ แต่การชำเช่นนี้ จะทำให้ตลาดพันธบัตรปั่นป่วนโกลาหลน่าดู
4. นอกจากจะใช้ทองหนุนพันธบัตรรัฐบาลเพื่อสร้างความมั่นใจให้เจ้าหนี้แล้ว ทรัมป์คงต้องคิดใช้คริปโต โดยเฉพาะบิดคอยน์เพื่อหนุนหรือเป็นหลักการันตีให้พันธบัตรรัฐบาล ทรัมป์ได้ประกาศตั้งสินทรัพย์คริปโตทางยุทธศาสตร์ผ่านคำส่ังของฝ่ายบริหารแล้ว รัฐบาลสหรัฐมีบิดคอยน์ประมาณ200,000เหรียญ และจะไม่ขายบิดคอยน์หรือเงินคริปโตเคอร์เรนซี่อื่นๆที่ได้มาจากการยึดเป็นของกลางจากพวกอาชญากรรมต่างๆ คริปโตเหล่านี้สามารถใช้หนุนพันธบัตรรัฐบาลเหมือนทองคำ เมื่อครบกำหนดอายุพันธบัตร นักลงทุนสามารถไถ่ทองเป็นทองคำหรือคริปโดได้ตามเงื่อนไข
5. ทรัมป์จะใช้สเตเบิืลคอยน์มาหมุนเวียนในระบบการเงินแข่งกับดอลล่าร์ หนี้ของดอลล่าร์กระดาษมีมากมายจนรัฐบาลสหรัฐจะไม่มีวันจ่ายคืนได้ ทุกคนทราบเรื่องนี้ดี แต่ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าติดกับดักดอลล่าร์ จากการที่ระบบการค้า หรือธุรกรรมการเงินส่วนมากอยู่ในรูปสกุลเงินดอลล่าร์ แต่เก้าอี้ดนตรีนี้ต้องหยุดสักวันใดวันหนึ่ง ทรัมป์รู้ดีว่าจะให้เกาอี้ดนตรีดอลล่าร์หยุดเองแล้วทุกอย่างพัง หรือทรัมป์จะแก้ปัญหาก่อนที่มันจะพัง วิธีการของทรัมป์คือการเอาสเตเบิ้ลคอยน์เข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แทนที่ดอลล่าร์ หนี้ดอลล่าร์ส่วนที่ไม่มีทองคำหรือคริปโตหนุนหลังก็อาจจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ เบี้ยวหนี้ หรือพิมพ์ดอลล่าร์เพิ่มไปจ่ายตามมีตามเกิด แต่ปริมาณการใช้ดอลล่าร์จะลดลงเมื่อปริมาณของสเตเบิ้ลคอยน์เข้ามาแทน
ทรัมป์ไม่เอาCBDCหรือเงินดิจิตัลที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ แต่จะเอาสเตเบิ้ลคอยน์ที่เอกชน หรือพูดง่ายๆก้วน หรือแก็งค์ของทรัมป์เป็นเจ้าขององค์กรที่ออกสเตเบิ้ลคอยน์บนแพล็ตฟอร์มบล็อคเชน สเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) เป็นสกุลเงินดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ โดยทั่วไปจะถูกผูกไว้กับสินทรัพย์เฉพาะ (เช่น สกุลเงินที่ออกโดยรัฐบาล) หรือตะกร้าสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อลดความผันผวนของราคาเมื่อเทียบกับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
จะมีสเตเบิ้ลคอยน์ออกมาหลายตัวแข่งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสเตเบิ้ลคอยน์ของธนาคารที่มีความพร้อมอยู่แล้ว จะเป็นการprivatizeระบบเงินตราที่มีผลกระทบวงกว้างอีกรอบ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐออกกฎหมายFederal Reserve Act 1913 ยกอำนาจการออกเงินตราดอลล่าร์ให้เอกชนไปดำเนินการ เพราะว่าเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางมีเอกชนเป็นผู้ถือหุ้น100%
สรุปแล้วอนาคตของดอลล่าร์กระดาษกำลังนับถอยหลังหลังจากทรัมป์ชนะการเลือกต้ัง ทรัมป์รู้ว่าอนาคตของดอลล่าร์กระดาษไปไม่รอด เพราะว่าBRICSภายใต้การนำของจีนและรัสเซียกำลังสร้างระบบการเงินโลกใหม่ออกจากระบบดอลล่าร์ จึงต้องตัดใจฆ่าดอลล่าร์ ด้วยการก่อสงครามภาษี ลดการใช้จ่ายภาครัฐ ใช้คริปโต และทองคำมาหนุนหลังพันธบัตรรัฐบาล และให้เอกชนออกสเตเบิ้ลคอยน์มาแทนดอลล่าร์ในที่สุด
เฉกเช่นเดียวกับภาพซาตานกำลังกินลูก ทรัมป์กำลังกลืนกินดอลล่าร์กระดาษ ก่อนที่จะอ๊วกออกมาเป็นสเตเบิ้ลคอยน์
By Thanong Khanthong
22/3/2025
IMCT News